5 เรื่องควรระวังที่คนทำคอนเทนต์ SEO ต้องเรียนรู้

คอนเทนต์ SEO มีความสำคัญมากในการทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน เพราะการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพจะทำให้เว็บไซต์ของบริษัทมีโอกาสติดอันดับต้น ๆ ในการค้นหาของผู้ใช้งาน จึงเป็นการสร้างโอกาสให้สามารถทำกำไรได้จากช่องทางนี้ แน่นอนว่ายิ่งให้ผลลัพธ์ที่ดี ยิ่งมีผู้สนใจและดันจำนวนคู่แข่งเรื่อง SEO ให้มากขึ้นไปอีก ผู้สร้างคอนเทนต์จึงต้องหมั่นพัฒนาเนื้อหาให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการพิจารณาข้อควรระวังทั้ง 5 ข้อต่อไปนี้

  1. อย่าคัดลอกเนื้อหาจากเว็บอื่น ๆ

คอนเทนต์มีส่วนที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกับเนื้อหาจากแหล่งอื่น ๆ มากเกินไปสามารถจับได้ง่าย ๆ ด้วยอัลกอริทึมในการวิเคราะห์ประโยคของ Google ในปัจจุบัน ทำให้การก๊อปปี้เนื้อหาจากแหล่งอื่นมาเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากและอาจทำให้เว็บไซต์ธุรกิจโดนแบนได้เลยทีเดียว จึงเป็นเรื่องที่ต้องหมั่นตรวจสอบและเน้นย้ำผู้สร้างคอนเทนต์อยู่เสมอ

  1. มีคีย์เวิร์ดมากไปแบบไม่สมเหตุสมผล

การมีคีย์เวิร์ดคุณภาพในบทความมากเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมว่าต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติของเนื้อหา และต้องพยายามสร้างคอนเทนต์ให้เกิดความน่าประทับใจสำหรับผู้ใช้งานได้จริง ๆ เพราะการยัดคำเข้าไปเยอะ ๆ อาจจะมีผลดีให้ติดอันดับเสิร์จได้ แต่ผู้ใช้งานจะไม่กดซ้ำเข้ามาอีกอย่างแน่นอน แถมถ้า Google จับได้ ยังมีโอกาสจะโดนลดอันดับได้อีกด้วย

  1. ทำแต่คอนเทนต์ตามกระแส

การทำคอนเทนต์ตามกระแสที่ร้อนแรงเป็นเรื่องดี แต่การทำคอนเทนต์ตามกระแสเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เว็บไซต์มีการเติบโตได้อย่างมั่นคง เพราะจะได้  Traffic แค่ช่วงสั้น ๆ แล้วเงียบไป ดังนั้นต้องทำคอนเทนต์ที่มีความยั่งยืนควบคู่ไปด้วยอย่างสม่ำเสมอ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการอย่างยั่งยืน

  1. ไม่ค่อยใส่ใจภาพประกอบ

ภาพและอินโฟกราฟิกที่ดีจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี ดังนั้นภาพที่นำมาใส่ต้องสวยงามและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา สื่อสารได้ชัดเจน ขนาดไม่เกิน 100 KB เพราะจะทำให้สามารถโหลดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ยิ่งถ้าเป็นภาพต้นฉบับได้จะยิ่งดึงดูดใจให้คนสนใจมากขึ้นไปอีก

  1. ไม่มีพาร์ทเนอร์ในการทำ Backlink

การทำ Backlink เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยดันผลลัพธ์การค้นหาให้สูงขึ้นได้ ดังนั้นต้องลองหาพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่สามารถสร้าง Backlink คุณภาพกลับมาที่เว็บไซต์ให้กันและกัน สิ่งนี้จะช่วยสร้างผลประโยชน์ทางบวกอย่างแน่นอน

ทั้ง 5 ข้อควรระวังเหล่านี้ ถ้าสามารถจัดการดูแลได้อย่างดีในขั้นตอนของการทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้อย่างใจ ยิ่งถ้าควบคู่มากกับสินค้าและบริการที่ยอดเยี่ยม จะสามารถจับใจของลูกค้าและครองตลาดได้อย่างมั่นคง ดังนั้นใครที่กำลังทำคอนเทนต์ SEO อย่าลืมพิจารณาทั้ง 5 ข้อนี้ไว้ให้ดีและนำไปปรับใช้ได้ตามสถานการณ์ของตนเองได้เลย

รวมข้อควรรู้เกี่ยวกับ URLs ที่ส่งผลดีต่อการทำ SEO

ทุกปัจจัยเล็ก ๆ บนเว็บไซต์ส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่ง URLs ที่เป็นดั่งที่อยู่ของหน้าเว็บไซต์นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยนั้น เพราะการออกแบบโครงสร้างและลักษณะของ URLs ให้มีประสิทธิภาพ จะส่งผลลัพธ์ในแง่บวกในกระบวนการของการทำ SEO และยังช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ ทำให้มีโอกาสสร้างรายได้จากการทำการตลาดออนไลน์อีกด้วย ดังนั้นเว็บไซต์ไหนที่ยังไม่มีการจัดการเรื่อง URLs อย่างจริงจัง ต้องห้ามปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป ลองไปเรียนรู้ด้วยกันว่าเรื่องที่ต้องเข้าใจเกี่ยวกับ URLs มีอะไรบ้าง

  1. ลักษณะ URLs ที่ดีเป็นยังไง

URLs ที่ถูกใจทั้งผู้อ่านและถูกใจอัลกอริทึมของ Google ต้องมีลักษณะที่ค่อนข้างสั้นและตรงประเด็น ควรประกอบไปด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา สามารถมอง URLs แล้วเดาได้ว่าหน้าเพจนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอะไร ดังนั้นไม่ควรประกอบไปด้วยตัวเลขหรือตัวอักษรที่ไม่มีความหมาย นอกจากนั้นคำบางอย่างที่ไม่จำเป็น เช่น a an for so but สามารถตัดออกได้ โดยเชื่อมคำต่าง ๆ บน URLs ด้วย – (Hyphens) จะอ่านง่ายและสะดวกต่อผู้ใช้งานมากที่สุด

  1. ทำให้ได้อันดับดีบน Google

ถ้าสามารถสร้าง URLs ให้มีลักษณะที่ดีตามที่แนะนำในหัวข้อก่อนหน้านี้ได้ จะทำให้ได้รับคะแนนสูงจากผู้ตรวจของ Google ที่เป็น AI หลากหลายตัว ที่ทำหน้าที่ในการเช็คเว็บไซต์ต่าง ๆ ว่ามีลักษณะดีในแบบที่ Google ต้องการหรือไม่ จะเห็นว่า URLs ที่ดีจะต้องสามารถอ่านได้โดยคนทั่วไปและยังต้องมีลักษณะตามที่ AI ต้องการอีกด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่จะได้คือลำดับเว็บไซต์ที่สูงขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้ที่กำลังค้นหาข้อมูลใน Google นั่นเอง

  1. แชร์ง่าย ส่งต่อได้บนโซเชียล

URLs ที่อ่านง่ายและกระชับจะสามารถนำไปแชร์ต่อบนช่องทางต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะดูน่าเชื่อถือ ไม่เหมือนลิงก์สแปม ทำให้ช่วยสร้างความมั่นใจในสายตาของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างโอกาสที่เว็บไซต์จะได้รับการจดจำจากผู้ใช้งาน เมื่อเกิด Backlink ที่มีประสิทธิภาพมาสู่หน้าเว็บไซต์ จะช่วยดันอันดับของ SEO ให้สูงขึ้นได้อย่างมั่นคง ข้อควรระวังคือ URLs ที่เป็นภาษาไทย เมื่อถูก copy เพื่อนำไปแชร์ต่อ จะกลายเป็นภาษาต่างดาว ดังนั้นแนะนำให้ใช้ URLs ภาษาอังกฤษจะสะดวกสบายกว่าในการส่งต่อ

  1. อย่าใช้ URLs ที่มีการระบุวันที่

บางครั้งเมื่อให้ซอฟแวร์สร้าง URLs ให้อัตโนมัติ จะมีการใส่วันที่สร้างหน้าเพจบน URLs ซึ่งสิ่งนี้อาจจะดูสะดวกสบายในสายตาผู้สร้าง แต่ไม่ส่งผลดีต่อ SEO เลย เพราะเป็นการระบุเจาะจงวันที่ลงไป จึงทำให้ผู้ใช้งานอาจจะคิดว่าเนื้อหานี้ไม่อัพเดทแล้วเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ดังนั้นอย่าระบุวันที่ลงบน URLs จะทำให้เนื้อหาดูสดใหม่ แถมเมื่อเข้าไปทำการแก้ไขเนื้อหาอีกครั้ง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปแก้ไขเพื่อเชื่อมอันเก่ามาสู่อันใหม่อีกด้วย

ทั้งหมดนี้คือข้อควรรู้ของการสร้าง URLs เพื่อส่งเสริมการทำ SEO บนเว็บไซต์ จะเห็นว่าการแก้ไขจุดต่าง ๆ ของ URLs ให้ถูกใจอัลกอริทึมของ Google ไม่ใช่สิ่งที่ยากหรือซับซ้อนเกินจะทำความเข้าใจ ดังนั้นเสียเวลาเพิ่มอีกสักนิด ใส่ใจกับจุดเล็ก ๆ เหล่านี้มากขึ้น จะทำให้การทำ SEO สามารถประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจแน่นอน

เปิดใจให้ SEO ในยุคของการทำการตลาดในโลกดิจิทัล

ถ้าพูดถึงการทำการตลาดที่มาแรงและมีที่สุดในตอนนี้ ก็ต้องยกให้การตลาดแบบดิจทัล เนื่องด้วยธุรกิจในปัจจุบันอยู่ในช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เป็นช่องทางที่ผู้คนสามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงได้ง่ายดายเพียงแค่มีอุปกรณ์มือถือ คอมพิวเตอร์ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ การทำ SEO สำหรับเจ้าของแบรนด์ในตลาดดิจิตอลจึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ เนื่องด้วยในปัจจุบันผู้คนมีการสืบค้นข้อมูลผ่านช่องทาง google เป็นจำนวนมากทั่วทั้งโลก  ทั้งนี้หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าการทำ SEO นั้นมีประโยชน์และจำเป็นต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง ตามไปพบกับคำตอบกันได้เลย

ประโยชน์ของการทำ SEO ในตลาดดิจิตอล

  • ช่วยส่งเสริมเรื่องการจดจำแบรนด์สินค้าหรือบริการของคุณ ด้วยเมื่อมีการกดค้นหาเว็บไซต์หรือข้อมูลผ่านคีย์เวิร์ดต่าง ๆ แล้วเว็บไซต์อยู่ในหน้าการค้นหาต้น ๆ จากการทำ SEO ที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ผู้คนหรือกลุ่มเป้าหมายสามารถที่จะมีการจดจำแบรนด์ได้มากขึ้น เพราะพบเห็นได้บ่อยมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
  • ช่วยให้เราสามารถเพิ่มยอดขายหรือฐานลูกค้ามากกว่าที่เคย ด้วยการที่ทำ SEO นั้นสามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นจากการจัดอันดับเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งอาศัยองค์ประกอบหลากหลายอย่าง ผู้คนที่เข้ามาโดยผ่านทาง Search engine เป็นผู้คนที่มีความสนใจในสินค้าบริการเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสในการกดเข้าไปรับชมเว็บไซต์ของทางแบรนด์ก็จะทำให้มีโอกาสในการสนใจสินค้าและบริการ เพิ่มการต่อยอดการขายได้มากขึ้น
  • สามารถโปรโมทเว็บไซต์โดยไม่ต้องใช้งบประมาณในการโฆษณา อย่างที่จะเคยพบเห็นเว็บไซต์ในหน้าของผลลัพธ์ในการค้นหาที่อยู่ในพื้นที่โฆษณา แล้วจะเห็นว่าในหน้านั้น ๆ มีเว็บไซต์อื่น ๆ ที่อยู่รองลงมาด้านล่างที่ไม่ใช่เป็นพื้นที่โฆษณา เว็บไซต์เหล่านั้นก็คือเว็บไซต์ที่ได้รับการจัดอันดับขึ้นมาผ่านการประเมินด้วยการวัดผลและเกณฑ์ต่าง ๆ ของทาง google ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็เว็บไซต์ที่มีการทำ SEO อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านและผู้เข้ารับชม โดยถ้าเจ้าของเว็บไซต์ให้ความสำคัญกับการทำ SEO มีความสม่ำเสมอและทำอย่างถูกวิธี การไปเป็นเว็บไซต์ในหน้าการค้นหาแรก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน

และทั้งหมดนี้ก็เป็นประโยชน์ของการทำ SEO ในยุคของตลาดดิจิตอล ที่ดีต่อแบรนด์หรือธุรกิจของคุณในระยะสั้นและระยะยาว ช่วยสร้างคุณภาพและมาตรฐานในการทำเว็บไซต์ให้ก้าวไปอีกขั้น เป็นหนึ่งในกระบวนการทำการตลาดแบบออนไลน์ที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดี เหมาะสำหรับเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการการเตรียมพร้อมรับการทำตลาดในโลกดิจิตอลแบบมั่นใจ

ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ SEO ที่เจ้าของธุรกิจต้องร้องว้าว

เมื่อพูดถึง SEO หลาย ๆ คนก็คงพอจะเคยได้ยินมาบ้าง สำหรับเจ้าของธุรกิจแล้วหลายคนอาจคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ก็ยังอดมีคำถามไม่ได้ว่าทำไมจึงต้องให้ความสำคัญกับ SEO อย่างมาก โดยในวันนี้จะพาทุกคนไปพบกับคำตอบที่บอกได้เลยว่ามีประโยชน์กับเจ้าของแบรนด์ต่าง ๆ อย่างแน่นอน

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ SEO

กับคำถามที่ว่าทำไมต้องทำ SEO มีข้อดีอย่างบ้าง? ตอบได้เลยว่ามีข้อดีตรงที่ช่วยทำให้เว็บไซต์ไปติดอันดับในลำดับหน้าการค้นหาแรก ๆ รองจากเว็บไซต์ที่มีการซื้อโฆษณาที่มักจะเจอกันเป็นประจำในหน้าผลลัพธ์การค้นหาของเว็บไซต์ google โดยการที่เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ นั้นจะช่วยทำให้ปริมาณการคลิกเข้ามารับชมเว็บไซต์ เข้าสู่เว็บไซต์มีมาก เพิ่มโอกาสในการรับชมเนื้อหาข้อมูล รวมถึงได้เข้ามาทำความรู้จักกับสินค้า ผลิตภัณฑ์และบริการของทางแบรนด์มากขึ้น เป็นวิธีการที่จะช่วยให้สามารถแข่งขันกับเว็บไซต์อื่น ๆ ได้ในระยะยาว เพราะเป็นการจัดอันดับของทาง google ไม่ได้เกิดจากการซื้อโฆษณา ลองคิดตามดูว่าถ้าหากอันดับของเว็บไซต์อยู่ในหน้าการค้นหาหลัง ๆ ก็จะทำให้โอกาสในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์น้อยลงไปด้วย การเพิ่มยอดขายหรือยอดการใช้บริการก็จะเป็นเรื่องยาก

คำถามที่ว่าช่วงเวลาไหนที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นทำ SEO ที่สุด ตอบได้ไม่ยากเลย ก็คือปัจจุบัน เนื่องด้วยการทำ SEO ต้องอาศัยระยะเวลาในการทำพอสมควร เพราะไม่ใช่การซื้อโฆษณา ซึ่งบอกได้ยากว่าจะทำไปกี่เดือนแล้วจึงจะสามารถไต่อันดับขึ้นมาได้ การเริ่มต้นทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เมื่อเริ่มต้นทำแล้วก็ยังจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เพิ่มเติมโครงสร้าง องค์ประกอบอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงวิธีการจัดการต่าง ๆ ด้วย ยิ่งเริ่มต้นในการทำ SEO ได้เร็วมากเท่าไหร่ก็ถือว่าได้เปรียบคู่แข่งมากเท่านั้น

คำถามที่ว่าถ้าอยากทำ SEO แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญและขาดทักษะด้านโซเชียลมีเดีย ควรที่จะทำอย่างไรได้บ้าง คำตอบก็คือปรึกษาและขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านการออกแบบเว็บไซต์ การสร้างเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ การสร้างคอนเทนต์ การทำกราฟิกรูปภาพ เนื้อหา บทความที่มีคุณภาพที่สามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามารับชมเว็บไซต์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยถ้าหากทำออกมาได้ดีทุกองค์ประกอบ การเลื่อนอันดับของเว็บไซต์ให้กลายเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน

จัดเต็มคำตอบมาแบบเน้น ๆ เลยทีเดียว ทั้งความหมาย ประโยชน์ แนวทางในการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับและอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าหากว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่อยากทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพละก็สามารถนำข้อมูลข้างต้นไปปรับใช้ได้เลย

เหตุผลที่ SEO สำคัญกับธุรกิจออนไลน์

การทำธุรกิจออนไลน์บนเว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ย่อมต้องการให้มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมมาก ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก เพิ่มโอกาสในการทำยอดขาย โดยวิธีที่ช่วยให้ผู้คนค้นหาเว็บไซต์หรือสื่ออนไลน์ใดบ่อย ๆ คือการนำเทคนิค SEO มาใช้นั่นเอง

SEO คือ Search Engine Optimization เป็นการปรับแต่งเพื่อให้เว็บไซต์ หรือหน้าเว็บไซต์สามารถติดอันดับในการค้นหาด้วย Search Engine ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในระบบการค้นหานั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Google, Bing, Yahoo สำหรับประเทศไทย ส่วนมากจะใช้เว็บไซต์ Google.co.th ในการค้นหาเป็นหลัก

Search Engine คือโปรแกรมที่ช่วยในการค้นข้อมูลต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ต โดยผู้ใช้จะกรอกคำสำคัญ (Keyword) หรือคำที่สนใจในการค้นหา จากนั้น Search Engine จึงจะแสดงผลการค้นหาออกมาเป็นอันดับของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Keyword ที่ค้นหานั่น แสดงว่าการให้เว็บไซต์แสดงผลในอันดับต้น ๆ ของ Search Engine ได้ก็จะมีโอกาสที่ผู้คนจะคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์มากขึ้นตามไปด้วย เมื่อมีผู้เข้าชมเว็บไซต์มาก ย่อมทำให้เกิดประโยชน์ต่าง ๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการ การเพิ่มโอกาสขายโฆษณา เป็นต้น แต่หากเว็บไซต์ไม่ได้แสดงผลใน Search Engine ย่อมมีโอกาสที่เว็บไซต์นั้นจะมีสภาพเหมือนเว็บไซต์ร้างที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อธุรกิจเลย

SEO มีความสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์อย่างไร

การทำตลาดด้วย SEO หรือ SEO Marketing คือกระบวนการทำตลาดออนไลน์ที่โฟกัสด้วยการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ เพื่อสร้างโอกาสให้เว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ (ทั้งรูปภาพ หรือวิดีโอ) ได้ปรากฏเป็นลำดับต้น ๆ ในผลการค้นหาของ Search Engine ยิ่งเป็นอันดับแรก ๆ ก็ยิ่งดี ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

1. ปัจจุบันนี้ ผู้คนต่างใช้การเสิร์ช Google ค้นหาข้อมูลมากกว่าวันละ 3.5 พันล้านครั้ง หรือประมาณ 40,000 ครั้งต่อวินาที

กว่า 90% ของผู้บริโภคที่ใช้อินเทอร์เน็ต มักไม่ติดสินใจซื้อ หรือทำอะไรกับแบรนด์ที่สนใจ หากยังไม่ได้ลองเสิร์ชหาข้อมูลที่จำเป็นดูก่อน

2. การทำ SEO ที่ดีจะให้ผลลัพธ์ทางการตลาด (Conversion rate) สูงถึง 14.6% ซึ่งในขณะเดียวกันการตลาดแบบดั่งเดิมจะให้ผลลัพธ์นี้เพียง 1.7% เท่านั้น

อย่างในประเทศไทย Google คือช่องทางอันดับหนึ่งที่ผู้คนใช้ค้นหาสินค้า และบริการที่สนใจ หลายคนอาจรู้สึกว่าคิดอะไรไม่ออก ให้ลองบอกกูเกิ้ล รับรองว่าจะได้สิ่งที่ต้องการแน่นอน ดังนั้นเมื่อมีการค้นหาสินค้า หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าใด ๆ แล้วเว็บไซต์ของผู้ประกอบการสามารถปรากฏให้ผู้คนเห็นได้เป็นลำดับแรก ๆ ย่อมเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ หรือสร้าง Brand Awareness ได้เป็นอย่างดี SEO จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิขออนไลน์ เพราะช่วยเพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างมาก

ขั้นตอนการทำ SEO สำหรับมือใหม่

SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดงในหน้าแรก ของการค้นหาใน Search Engine อย่าง Google นั่นเอง เพราะเป็นเครื่องมือสำหรับหาข้อมูล หรือสินค้าที่ต้องการที่ผู้คนทั่วไปนิยมใช้กันมาก และ Search Engine ยังทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างเว็บไซต์ที่มีผู้คนเข้าใช้มาก ๆ อย่าง Pantip หรือ DEK-D อีกด้วย

ดังนั้นการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization จึงเป็นเทคนิคทางการตลาดแบบออนไลน์ที่ช่วยให้สินค้าหรือบริการของคุณได้แสดงในหน้าแรกของ Search Engine โดยการค้นหาจะใช้คำสำคัญที่เรียกว่า Keyword เป็นการแสดงเนื้อหาที่ดีและมีประโยชน์ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาจาก Google ADS อีกด้วย

ดังนั้นเทคนิคในการทำ SEO คือการหาข้อมูล (Information) มาใส่ในเว็บไซต์ให้ตรงกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหาอยู่ เพื่อให้หน้าเว็บของเราได้แสดงในอันดับต้น ๆ ของการค้นหา เนื้อหาภายในเว็บไซต์ต้องมีลักษณะที่ google ชอบ เป็นข้อมูล (information) ที่ตอบโจทย์ให้กับผู้ที่สนใจ เป็นข้อมูลที่เรียบเรียงมาเป็นอย่างดี อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย (accessible) และต้องเป็นประโยชน์ (useful) คือสามารถแก้ปัญหาหรือให้กับผู้ที่ต้องการหรือสนใจได้

ขั้นตอนการทำ SEO

การหา Keyword เพราะคีย์เวิร์ดคือคำแรกที่ผู้คนใช้ค้นหาข้อมูลที่ต้องการ การหา Keyword ที่เหมาะสมจึงช่วยในการจัดอันดับการค้นหาได้ดี การเขียนบทความหรือทำเว็บไซต์ก่อนหา Keyword มักทำให้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้นเมื่อรู้ Keyword ที่ต้องการก็จะทำให้การเขียนบทความหรือปรับแต่งเว็บไซต์ทุกอย่างเป็นไปอย่างเหมาะสม

การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ เมื่อได้ Keyword ที่ต้องการแล้ว ก็นำมาสร้างเนื้อหาลงในเว็บไซต์ได้ โดยเนื้อหาและ Keyword ที่ใช้ควรสอดคล้องกัน โดยทั่วไป Google ชอบเนื้อหาที่มีลักษณะยิ่งยาวยิ่งดี มีลักษณะข้อมูลจากหลายแหล่งที่บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ยิ่งจำนวนคำบนเนื้อหา (Number of words on a page) มากเท่าใด โอกาสการขึ้นอันดับต้น ๆ บนหน้าการค้นหาก็จะยิ่งสูงขึ้น รวมถึงการเพิ่มรูปที่ดึงดูดความสนใจ ช่วยให้เนื้อหาในเว็บไซต์โดดเด่นมากขึ้น

การปรับ On-Page เป็นการปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ให้ตรงตามหลักการค้นหาของ Google ซึ่งมีปัจจัยหลัก ๆ คือการตั้งชื่อ URLs เพราะ URLs เปรียบได้กับชื่อที่อยู่ของบ้านบนโลกอินเทอร์เน็ต ควรตั้งชื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้คนเข้าถึงเว็บไซต์ได้สะดวกขึ้น และความยาวของ URLs ไม่ควรยาวเกินไป ควรกระชับได้ใจความ อีกส่วนสำคัญคือการตั้งชื่อหัวข้อบทความ เพราะเป็นส่วนแรกที่ Google ใช้ค้นหาเป็นอย่างแรก และในชื่อหัวข้อควรมีชื่อ Keyword ประกอบอยู่ด้วย และแนะนำให้ใส่ Internal Link ซึ่งเมื่อใส่เอาไว้ในเว็บไซต์ จะทำให้เว็บไซต์น่าสนใจ และเพิ่มโอกาสการค้นหาได้มากขึ้น

การสร้าง Backlinks ซึ่งเป็นลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์อื่น การเพิ่ม Backlink นั้นมาจากการยื่นข้อเสนอกับเว็บไซต์อื่น เพื่อทำ Backlinks เชื่อมโยงระหว่างกัน และควรเป็นเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกัน

การติดตามผล การทำ SEO มีประสิทธิภาพมีประสิทธิภาพหรือไม่ สามารถติดตามผลได้จากเครื่องมืออย่าง Google Analytics และ Google Search Console เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยติดตามผลการค้นหาของหน้าเว็บไซต์ ช่วยให้รู้ว่ามีคนเข้าเว็บมากเท่าใด จำนวนเพิ่มขึ้นเพียงใด และพฤติกรรมการเข้าเว็บเป็นอย่างไร เป็นต้น

การทำ SEO คือเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ ซึ่งไม่ได้ยากเกินไป แต่ต้องอาศัยความเข้าใจ ติดตามผล และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

Off-Page SEO สิ่งสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ

การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาใน Google เพื่อให้ลูกค้าเห็นสินค้าและบริการของเราเป็นอันดับแรก ๆ นั้นมีสองวิธีคือ ซื้อพื้นที่โฆษณาของ Google ซึ่งมีราคาตั้งแต่หลักสิบไปถึงหลักล้านบาท และอีกวิธีหนึ่งที่ไม่เสียเงินแล้วยังทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบธรรมชาติและยาวนาน นั่นคือการทำ SEO การทำ SEO นั้นมีหลายส่วน วันนี้เรามาดูส่วนของ Off-Page SEO กัน

OFF-Page SEO คืออะไร

Off-Page SEO คือการสร้าง Traffic หรือการทำให้มีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์จำนวนมาก ส่งผลให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยม จึงติดอันดับของ Google ในที่สุด

Off-Page SEO ทำได้ดังนี้

สร้าง Digital Branding – Digital Branding คือการสร้างแบรนด์สินค้าบนโลกออนไลน์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ตั้งชื่อให้สินค้าที่เราจะขายบนอินเทอร์เน็ตนั่นเอง สิ่งนี้จำเป็นเพราะจะเพิ่มความชัดเจนและโดดเด่นของตัวสินค้าและความน่าเชื่อถือ หากไม่มีชื่อแบรนด์ลูกค้าก็ยากที่จะจำสินค้าของเราได้และโอกาสที่จะกลับมาซื้ออีกก็มีน้อย

สร้าง Backlink – Backlink คือลิงก์หรือ URL ที่กดแล้วเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา เป็นปัจจัยหลักในการทำ Off-Page SEO เมื่อได้ Backlink แล้วก็นำไปแปะในเว็บไซต์อื่น ๆ อย่างเช่น เว็บไซต์พันทิป ( Pantip.com ) เมื่อมีคนตั้งกระทู้ว่า “ แนะนำมือถือ สเป็กดี งบไม่เกิน 5,000 หน่อยค่ะ ” ก็เข้าไปตอบกระทู้นั้น โดยแปะลิงก์ร้านขายมือถือของเรา แบบนี้เป็นต้น แต่การแปะ Backlink ต้องดูความเหมาะสมและต้องเคารพกฎของเว็บไซต์นั้นด้วย

สร้างโปรไฟล์แบรนด์ของเราในโซเชียลมีเดีย – สร้าง Facebook, Instagram, Tiktok หรือ Youtube นำลิงก์ของเราไปแปะไว้ ตัวอย่างเช่น โซเชียลมีเดียอาจเอาไว้ให้ลูกค้าสอบถามข้อมูล แต่หากลูกค้าอยากดูสินค้าให้กดลิงค์เข้ามาในเว็บไซต์และทำการซื้อของในเว็บไซต์

ข้อควรระวังในการทำ Backlink

Backlink คือปัจจัยหลักในการทำ Off-Page SEO ไม่ควรทำลิงก์เชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่นที่เว็บไซต์นั้น ๆ มีเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับเว็บไซต์ของเรา ไม่ควรใช้โปรแกรมสร้างลิงก์อัตโนมัติ (Automatic Link Building Program) ที่ผลิตลิงก์เยอะ ๆ ไม่ควรสร้าง Content หลอก ๆ มาเพื่อยิงลิงค์ออกเพียงอย่างเดียว การทำแบบนี้จะถูก Search Engin มองว่าเป็นสแปมและเว็บไซต์อาจจะถูกแบนได้

อยากให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จหรือติดอันดับการค้นหาต้องทำ Off-Page SEO ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ คือการทำ Off-Page SEO คือการทำ Backlink ทั้งนี้ควรทำ Backlink ให้ถูกต้องและมีคุณภาพ เพราะหากหันไปใช้วิธีลัดด้วย Backlink ปลอม ๆ เว็บไซต์ที่ทำมาเหนื่อยยากแสนเข็นอาจถูกปิดหรือแบนได้

การกำหนด KPI บนบทบาทนักการตลาดเว็บไซต์

KPI คือการกำหนดเป้าหมายในการทำ SEO เพราะนอกจากจะช่วยให้อันดับการค้นหาดีขึ้นแล้ว ยังควรช่วยให้มีผู้ชมเข้ามาคลิกไปยังเว็บไซต์ด้วย ดังนั้นการทำ SEO จึงส่งผลทั้งต่อเว็บไซต์ของธุรกิจ และความสำเร็จอื่น ๆ ของธุรกิจ ดังนี้

  • Brand Awareness SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ บ้านผลบอล หรือแบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าหรือบริการ และสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์
  • Website Traffic หรือการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า และการทำตลาดออนไลน์ที่ยั่งยืน
  • Visitor Targeting คือการที่ SEO สามารถช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้โดยตรง โดยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายจากการสร้างคอนเทนต์ หรือสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ด้วยการใช้ Keyword ในคอนเทนต์
  • Conversion Rate เป็น KPI สำคัญของทุกธุรกิจ ทั้งยอดการขายสินค้า ยอดการกรอกแบบฟอร์ม หรือยอดการสมัครตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
  • Authority การสร้างความน่าเชื่อถือในสินค้าและบริการ หากแบรนด์มีความน่าเชื่อถือจากการทำ SEO ที่ดี ก็จะส่งผลให้ลูกค้าเลือกใช้สินค้าและบริการได้มากขึ้น
  • Business Growth เป็นการส่งเสริมให้แบรนด์เกิดการเติบโต เป็นที่รู้จัก หรือยอดขายเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น

การวัดผล KPI ของ SEO จากภาพรวมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ ควรมีรายละเอียดต่อไปนี้

  1. จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Number of Visitors) เพื่อตรวจสอบความนิยมของเว็บไซต์นั้น ๆ แสดงถึงประสิทธิภาพในการทำ SEO จากยอดการเข้าชมที่สูงขึ้น
  2. อัตราของผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งรายใหม่และเก่า (Ratio of New and Returning Visitors) โดยใช้ Cookies ในการนับจำนวนผู้เข้าชม และพิจารณาว่าผู้เข้าชมคนไหนบ้างที่เป็นผู้เข้าชมใหม่ และคนไหนที่เคยเข้ามายังเว็บไซต์แล้ว การที่เว็บไซต์มีผู้กลับเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ซ้ำ (Returning Visitors) มาก แสดงว่าเว็บไซต์นั้นตอบโจทย์ความต้องการของผู้อ่านได้ดี แต่หากมีผู้เข้าชมรายใหม่ (New Visitors) มาก แสดงถึงความสำเร็จในการทำ SEO ของเว็บไซต์นั้น ช่วยให้เกิด Awareness ในกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ และแสดงถึงผลการค้นหาเว็บไซต์ที่ดีบน Search Engine ด้วย
  3. ระยะเวลาการเข้าชมเว็บไซต์ (Session Duration) การมีช่วงเวลาอยู่บนเว็บไซต์ยิ่งนาน ยิ่งแสดงว่าเว็บไซต์นั้นมี SEO ที่ดีสามารถดึงดูดผู้เข้าชม และสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อผู้ชมและเว็บไซต์นั้นได้ หากระยะเวลาการเข้าชมสั้น แสดงว่าควรนำคอนเทนต์มาตรวจสอบว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายเพียงพอแล้วหรือไม่ เพื่อการพัฒนา SEO ที่ดีต่อไป
  4. จำนวนผู้ใช้งานจากการค้นหาบน Google โดยไม่เสียค่าโฆษณา (Number of Users from Organic SERPs) หากการค้นหาทั่วไปบน Search Engine แบบไม่เสียเงิน หรือที่เรียกกันว่า Organic Search มีเป็นจำนวนมาก แสดงว่าการทำ SEO นั้นให้ผลดี ผู้คนให้ความสนใจโดยที่ไม่ต้องยิงโฆษณา
  5. ค่าเฉลี่ยระยะเวลาในการโหลดหน้าเว็บไซต์ (Average Speed) ยิ่งใช้ระยะเวลาในการโหลดหน้าเว็บนาน ก็ยิ่งแสดงถึงผลเสียของผู้ใช้งานและ Search Engine เพราะเสี่ยงที่จะเสียลูกค้าที่ไม่ชอบรอได้ง่าย ควรแก้ไขให้ระยะเวลาการโหลดหน้าเว็บน้อยที่สุด เพื่อให้การทำ SEO ได้ผลที่ดีมากขึ้น

การทำ SEO เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้คนทำธุรกิจไม่ว่าจะรายเล็กหรือรายใหญ่จึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้รอบด้าน อย่างงการกำหนด KPI คือการกำหนดเป้าหมายในการทำ SEO เพื่อวัดผลว่าที่ทำ SEO ไปนั้นไปผลลัพธ์อย่างไร จากนั้นนำไปต่อยอดในการพัฒนาคิดแผนกระตุ้นเพื่อให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น

5 เทคนิค SEO เขียนบทความอย่างไรให้ติดอันดับค้นหา Search Engine

เชื่อหรือไม่ว่าเพียงแค่การเขียนบทความ SEO ภายในเว็บไซต์ สามารถที่จะทำให้ติดอันดับการค้นหาของ search engine ได้ เพียงแต่อาศัย เทคนิคดังต่อไปนี้

รูปแบบของโครงสร้างบทความ

รูปแบบของโครงสร้างบทความจะต้องเรียงลำดับเนื้อหาอย่างชัดเจน มีการตั้งชื่อของหัวข้อหลักและหัวข้อรอง ด้วย heading tag เช่น H1, H2, H3 เพื่อเป็นการเน้นความสำคัญแต่ละส่วนของบทความ

การเลือก Keyword

การเลือก keyword ควรเลือกให้เหมาะสมกับบทความที่จะเขียน โดยเน้นคุณภาพของบทความมากกว่าที่จะใส่ keyword เข้าไปจำนวนมาก เพราะ Ai ของ Google มีการปรับปรุงให้มีความฉลาดมากยิ่งขึ้น สามารถที่จะตรวจสอบได้ว่า keyword ที่เราใส่เข้าไปนั้นสอดคล้องกับบทความที่เขียนและเว็บไซต์ของเราหรือไม่ และ keyword ที่นำมาใช้งานจะต้องมีปริมาณในการค้นหาด้วย สำหรับปริมาณ keyword ที่ควรเลือกนำมาใช้งานนั้น พิจารณาจากจำนวนคนที่ใช้ keyword นั้นในการค้นหาผ่าน Google แล้วระบบมีการจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลเอาไว้ โดยคนเขียนบทความสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ผ่านทาง Google Trends และ Google Keyword Planner

เขียนบทความ

หลังจากวางโครงเรื่องและมี keyword ในการตั้งหัวข้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เป็นในส่วนของการเขียนบทความ SEO โดยการเขียนบทความจะต้องเขียนไปตามอารมณ์เน้นการไหลลื่นและเป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุด ไม่ต้องกลัวว่าจะเขียนผิดหรือใช้ภาษาไม่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องเขียนตามที่มีการวางโครงสร้างเอาไว้ สำหรับบทความควรเขียนไม่ต่ำกว่า 500 คำขึ้นไป ซึ่งถ้าให้ดีควรจะมีค่าเฉลี่ยที่ 1000 คำ ในระหว่างที่เขียนบทความควรสอดแทรก keyword ไปตามส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นย่อหน้า หัวข้อหลัก หัวข้อรอง ให้กระจายทั่วทั้งเนื้อหา โดยจะต้องไม่มากจนเกินไป แต่ถ้าต้องการให้ Ai ของ Google สามารถตรวจจับและประเมินผลได้ดีควรเลือกใช้ LSI KEY มาเป็นตัวช่วยเพื่อที่ BOT ของ Google จะได้ไม่ตีความว่าเป็นการสแปม keyword

ภาพประกอบ

บทความที่ดีควรมีรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพราะจากการสำรวจพบว่าคนที่เข้ามาอ่านบทความส่วนใหญ่จะเห็นรูปภาพก่อนเสมอและเลือกอ่านบทความที่มีรูปภาพ ซึ่งรูปภาพที่นำมาควรเป็นรูปภาพที่ไม่ติดลิขสิทธิ์หรือเป็นรูปถ่ายของคุณเอง พร้อมกับการอธิบายรูปภาพและอาจแทรก keyword เข้าไปในการตั้งค่า alternate text หรือ ALT ของรูปภาพเป็นอีกทางเลือกหนึ่งก็ได้

ลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอก

สำหรับบทความที่นำมาลงภายในเว็บไซต์นั้นการเชื่อมต่อลิงก์ภายในจะต้องมีการเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้มีความสอดคล้องและลื่นไหลเพื่อที่ Google จะได้มองเห็นทราฟิกที่เกิดขึ้นภายใน พยายามอย่าให้ลิงก์เสียหรือคลิกแล้วไม่เจอหน้าเพจที่ต้องการ เพราะหากเป็นเช่นนั้นคะแนนการจัดอันดับก็จะลดลงด้วย ส่วนลิงก์ภายนอกควรเป็นลิงก์ที่มีการเชื่อมต่อมายังเว็บ เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าเว็บมีคุณภาพและใช้เป็นแหล่งอ้างอิงที่มีความน่าเชื่อได้นั่นเอง

สำหรับใครที่กำลังเขียนบทความ SEO เพื่อยกระดับให้เว็บไซต์ของตนเองติดอันดับการค้นหาของ Google อย่าลืมนำเทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้เป็นแนวทางทางในการปรับปรุงเว็บไซต์ให้สามารถติดอันดับการค้นหาได้ และที่สำคัญควรอัปเดตบทความอยู่เสมอ เพื่อที่ Google จะได้มองเห็นว่าเว็บไซต์มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

แจกเทคนิค 5 ข้อในการทำ SEO แบบง่าย ๆ ให้ติดอันดับบน Google

SEO (Search Engine Optimization) หมายถึงการบริหารจัดการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ให้มีการแสดงผลลัพธ์ของการค้นหาใน Search Engine หรือ Google โดยต้องใช้การกรอกคีย์เวิร์ด (Keyword) ของคำที่ต้องการค้นหาเข้าไปในแถบเครื่องมือนั่นหมายถึงหากหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจมีคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่คนนิยมใช้ค้นหามากเท่าไหร่แบรนด์ของธุรกิจก็จะมีโอกาสให้ผู้คนได้ค้นพบเจอมากเท่านั้น นอกจากนี้ยังจะต้องประกอบไปด้วยเทคนิคอื่น ๆ ในการจัดการหน้าเว็บไซต์ด้วยถึงทำให้การทำ SEO เกิดประสิทธิภาพสูงสุดประกอบด้วย

  1. การวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ อย่างเช่น ทำธุรกิจขายเสื้อผ้า บนหน้าเพจหรือเว็บไซต์จะมีแต่คำว่าเสื้อผ้าอย่างเดียวไม่ได้ ควรมีคีย์เวิร์ด (Keyword) สำคัญอย่างอื่นร่วมด้วยเช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนม หรือชุดเซ็ตวัยรุ่น เป็นต้น เพราะคีย์เวิร์ด (Keyword) แวดล้อมเหล่านี้แม้จะไม่ใช่คำที่คนใช้ค้นหากันมากแต่ก็ยังพอมี traffic อยู่บ้างซึ่งจะเป็นโอกาสให้คนค้นหาเว็บไซต์ของธุรกิจเจอง่ายยิ่งขึ้น
  2. หน้าเว็บไซต์ต้องใช้งานได้ง่าย ต้องอย่าลืมว่าคู่แข่งบนโลกออนไลน์มีมากมายหลากหลาย ทางเลือกของผู้บริโภคก็มีมากเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าคนค้นหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจเจอแล้ว แต่บรรดาแถบเครื่องมือบนหน้าเว็บไซต์ใช้งานยากเหลือเกิน หรือต้องการจะค้นหาสิ่งใดในหน้าเว็บไซต์ก็ใช้งานลำบากก็เป็นการตัดโอกาสการเข้าถึงข้อมูลของสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้ ดังนั้นคอนเซปต์ของการออกแบบหน้าเว็บไซต์นอกจากสวยงามสะดุดตาแล้วยังต้องให้ใช้งานได้ง่ายและลื่นไหลด้วย
  3. คอนเทนต์ต้องมีคุณภาพ ยิ่งเป็นคอนเทนต์ตามยุคตามเทรนด์หรือให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคต้องยิ่งแสดงให้มากเข้า เพราะ Google ก็มีการจัดอันดับคอนเทนต์ของเว็บไซต์ธุรกิจด้วย หากคุณภาพของคอนเทนต์ดีจะเป็นการเพิ่มคุณภาพของ link และระดับคะแนนของเว็บไซต์จะทำให้ผู้คนเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจได้ง่าย เร็ว และแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น
  4. การสร้างการเชื่อมโยงของ link เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาคอนเทนต์และคีย์เวิร์ด กล่าวคือการมีช่องทางเครือข่ายของ link ที่อ้างอิงมาสู่หน้าเว็บไซต์ของธุรกิจได้จะเป็นการเพิ่มแต้มและอันดับของเว็บไซต์ธุรกิจบนหน้า Google ให้ดียิ่งขึ้น เทคนิคหนึ่งที่คนนิยมใช้คือการใช้ blog ของ Influencer เชื่อมโยงมาสู่หน้าเว็บไซต์ธุรกิจ
  5. ใช้ประโยชน์จาก Social Media ให้เป็นคือต้องเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคือคนกลุ่มใดแล้วเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมในการสื่อสารภาพของธุรกิจไปยังกลุ่มเป้าหมายนั้น เทคนิคง่าย ๆ คือการสร้างสัมพันธ์กับ Influencer ที่มีผู้ติดตามมาก ๆ เพื่อให้พวกเขาช่วยเป็นกระบอกเสียงสื่อสารถึงภาพแบรนด์ของธุรกิจให้รู้จักกันเป็นวงกว้าง

สรุปก็คือหากธุรกิจต้องการประสบความสำเร็จในยุค 4G SEO คือเครื่องมือที่ง่ายที่สุด และใช้งบประมาณน้อยที่สุดในการโปรโมทให้คนภายนอกได้สัมผัสกับตัวตนของธุรกิจได้เร็วและแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงต้องนำเทคนิคในการทำ SEO มาใช้ให้มีประสิทธิภาพเพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างสูงสุด

โลกสวยหลีกไป Blog นี้สำหรับดราม่าเท่านั้น