เรื่องทั้งหมดโดย Bertha Nelson

ทำไมปี 2020 ต้องทำ SEO ให้เว็บไซต์

ทำไมปี 2020 ต้องทำ SEO ให้เว็บไซต์

การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ธุรกิจออนไลน์ เป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดแนะนำ ให้นักธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเรียนรู้และทำเป็นประจำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างยิ่งขึ้น

การทำ SEO ตามระบบ search engine optimization ที่ Google แนะนำ เป็นสิ่งจำเป็นในปี 2020 อย่างมาก ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวงการธุรกิจใด ก็ต้องเรียนรู้และเริ่มพัฒนาเว็บไซต์เสียแต่วันนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ แข่งขันได้ดีขึ้นกับธุรกิจใหญ่เจ้าตลาดและเว็บไซต์เปิดใหม่มากมายที่เริ่มทยอยเพิ่มจำนวนตั้งแต่ช่วงหลังปีใหม่ที่ผ่านมา

SEO ช่วยเรื่องการขายได้ดีกว่า

การทำ SEO จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งขึ้น จากการเพิ่มความเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณได้หลายเท่าตัว เมื่อทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เว็บไซต์ถูกปรากฏในหน้าจอการสืบค้นที่เรียกว่า SERPs หรือ Search Engine Result Pages โดยถ้าอยู่ในอันดับที่ 1-5 จะมีอัตราการคลิกและการซื้อสินค้าจากเว็บไซต์เหล่านี้มากกว่าอันดับที่อยู่ด้านล่าง มากกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

นอกจากนี้ ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะเสียค่าใช้จ่ายเพื่อการโฆษณาโดยไม่จำเป็น หรือที่เรียกว่าระบบ SEM ย่อมาจาก search engine marketing หรือการเช่าพื้นที่โฆษณาในแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น YouTube, Instagram, Facebook คุณก็ควรที่จะทำ SEO ให้แก่เว็บไซต์ทางธุรกิจเพื่อให้ผู้ใช้งาน Google ซึ่งเป็น Search Engine ที่คนทั่วโลกนิยม สืบค้นเจอได้ง่าย

การทำ SEO ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่ Google เลย เพียงแค่ดูแลการผลิตและเผยแพร่บทความ SEO ที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ การพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย มีการแยกหมวดหมู่สินค้าที่ชัดเจน การแก้ไขลิงก์ที่เชื่อมโยงระหว่างเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีปัญหา การผลิตรูปภาพที่สวยงาม เพื่อใช้ประกอบเว็บไซต์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นจุดที่ห้ามละเลยโดยเด็ดขาด

ประเด็นที่สำคัญของการทำ SEO อีกอย่าง คือ บทความที่ใช้ประกอบเว็บไซต์ จะต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ ถ้ามีการคัดลอกหรือเลียนแบบจากที่อื่น จะส่งผลให้ระบบ algorithm ทำการปรับอันดับให้ลดลงไปอยู่อันดับล่าง ๆ รวมถึงการใช้รูปภาพที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์จากแหล่งต่าง ๆ คุณจึงควรมองหาแหล่งเว็บไซต์ฟรี เพื่อนำรูปมาใช้ได้อย่างปลอดภัยด้วย

การทำ SEO จะเห็นผลได้ดีต่อเมื่อทำอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ถึง 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งคุณสามารถที่จะเรียนรู้การทำได้ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจที่ต้องการควบคุมคุณภาพของเว็บไซต์ด้วยตัวเองในระยะยาว หรืออาจจะจ้างบริษัทที่มีความสามารถในการทำเว็บไซต์ SEO ก็ได้เช่นเดียวกัน

ท้ายที่สุด เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่คาดหวังความสำเร็จสูงทุกท่านเห็นความสำคัญของการทำ SEO ให้แก่เว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อให้ธุรกิจออนไลน์ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านการสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักและมียอดขายที่ดียิ่งขึ้นต่อไป

SEO ช่วยเรื่องการขายได้ดีกว่า

เรื่องน่ารู้ของการทำ SEO ให้รูปภาพ

เรื่องน่ารู้ของการทำ SEO ให้รูปภาพ

การทำ SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณถูกสืบค้นเจอง่ายขึ้น ซึ่งคนทั่วไปจะรู้จักว่าการทำ SEO เป็นการเลือกคำสำคัญสำหรับเขียนบทความ การทำให้โครงสร้างเว็บไซต์สวยงามมีหมวดหมู่ชัดเจน และการทำลิงก์เพื่อเชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์ภายนอก ประเด็นที่คนมักหลงลืม คือ การทำ SEO ให้แก่รูปภาพที่ใช้ประกอบในบทความ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้อันดับการสืบค้นดีขึ้นได้

การทำ SEO ให้แก่รูปภาพได้รับความนิยมมากในระยะหลัง เนื่องจากคนส่วนใหญ่นิยมเลือกซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ที่ใช้ภาพถ่ายจริงในการแนะนำสินค้า หรือมีภาพที่เป็นเอกลักษณ์ประกอบเนื้อหา เมื่อค้นหาผ่าน Google image search รูปภาพที่อยู่อันดับบน ๆ ในหน้าจอ จะได้รับการสนับสนุนในการคลิกเข้าชมและส่งเสริมยอดซื้อสินค้าและบริการได้มากขึ้น

เรามาดูกันว่าหลักการในการทำ SEO ให้รูปภาพ มีอะไรบ้าง

การปรับขนาดรูปภาพให้เหมาะสม

โดยทั่วไปแล้ว รูปภาพจะมีความละเอียดสูงหลังการใช้โปรแกรม Photoshop หรือถ่ายด้วยกล้อง แต่เมื่อต้องนำมาใช้ดาวน์โหลดลงเว็บไซต์ ต้องมีการปรับความละเอียดให้อยู่ที่ประมาณ 500-700 พิกเซล เพื่อให้ใช้ระยะเวลาในการดาวน์โหลดน้อยลง ลดความเสี่ยงในการเกิด Error ได้

รูปภาพควรมีความเป็นเอกลักษณ์

ไม่ว่าจะเป็นภาพที่มาจากการทำกราฟฟิกด้วย Photoshop หรือโปรแกรมวาดภาพทั้งในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ หรือเป็นภาพที่ถ่ายในสตูดิโอหรือนอกสถานที่ ก็ควรที่จะไม่ซ้ำแบบใคร หากใช้นางแบบนายแบบก็ต้องเป็นคนที่มีสไตล์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร เพื่อสร้างความจดจำให้แก่คนดู ทั้งนี้ ภาพที่ถ่ายทำขึ้นมาใหม่ จะได้คะแนน SEO ที่สูงมากกว่าภาพที่มีการนำมาจากเว็บไซต์ให้ฟรี

การใส่คำอธิบายรูปภาพ

ในส่วน alt tag ในฟังก์ชันของ wordpress ที่คนทั่วไปใช้ในการเขียนบทความ ควรใส่ keyword ให้ละเอียดที่สุด หากไม่รู้จะเริ่มจากคำว่าอะไร ให้มองหา keyword ที่ตอบโจทย์ว่า ใครอยู่ในภาพ กำลังทำท่าอะไร สิ่งของในภาพมีอะไร สีอะไรบ้าง ฯลฯ ยิ่งใส่รายละเอียดมาก จะทำให้โอกาสถูกสืบค้นมากขึ้นตามไปด้วย

ความสม่ำเสมอในการอัปเดต

รูปภาพและบทความ SEO ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลลงในระบบ เพื่อให้ algorithm ของ Google มาประมวลเป็นคะแนนเทียบกับเว็บไซต์อื่น ความขยันในการนำเสนอข้อมูลใหม่ ๆ ต่อเนื่อง 3 ถึง 6 เดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีในการทำ SEO ได้

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้ภาพ เป็นปัจจัยหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ และยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอยู่หลายด้านที่ผู้มุ่งหวังความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ต้องศึกษา เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านเห็นช่องทางในการทำ SEO ให้รูปภาพ เพื่อส่งเสริมธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้น

หลักการในการทำ SEO ให้รูปภาพ มีอะไรบ้าง

ประโยชน์ของ SEO ดันธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้เติบโต

ประโยชน์การตลาดออนไลน์แบบ SEO

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะอยู่รอดได้ก็ด้วยการดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเดิมไว้ นับเป็นหลักการสำคัญที่ควรยึดถือไว้อย่างเหนียวแน่น การทำ SEO เกิดประโยชน์โดยตรงในด้านกระตุ้นการขายสินค้าและบริการบนเว็บไซต์ ช่วยลดต้นทุนพร้อมกับดันยอดขายเพิ่มขึ้น เว็บไซต์ที่ผ่านการทำ SEO จะแตกต่างจากเว็บไซต์ปกติ เข้าถึงง่าย ใช้งานสะดวก และเป็นเครื่องมือช่วยจัดการยอดขายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มาดูกันว่าการตลาดออนไลน์แบบ SEO นั้นมีประโยชน์อะไรให้บ้าง

ประโยชน์การตลาดออนไลน์แบบ SEO

การทำ SEO คือ กลยุทธ์การตลาดที่ดีสำหรับอีคอมเมิร์ซ การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาช่วยประชาสัมพันธ์แบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นำเสนอข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ แบบประหยัดต้นทุน แผน SEO ที่มีประสิทธิภาพทำให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดี แสดงผลการค้นหาในอันดับต้น ๆ ของ Google เพื่อให้สะดุดตา เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเป้าหมายคลิกเข้าเยี่ยมเว็บไซต์มาเลือกชมและสั่งซื้อสินค้าหรือบริการง่ายมากขึ้น

ปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหา บทความที่ดีเป็นช่องทางโฆษณาเพิ่มการรับรู้ในแบรนด์สินค้า โดยใช้คีย์เวิร์ดปรับเนื้อหาให้เหมาะสม ประโยชน์ของ SEO ช่วยให้บทความในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือบล็อกนั้นน่าอ่านมากขึ้น เนื้อหาควรเชื่อมโยงกับความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย วิธีนี้เป็นการโฆษณาที่เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมมากมายด้วยต้นทุนเพียงเล็กน้อย บทความที่มีคุณภาพไม่ได้เพิ่มอัตราการเข้าชมรวดเร็ว แต่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าโฆษณาแบบไวรัลที่สร้างความประทับใจในทันที

การรีมาร์เก็ตติ้งหรือติดตามลูกค้าเป้าหมายที่เคยเข้าเว็บไซต์เพื่อกระตุ้นให้กลับมาใช้งานซ้ำ โดยวิธีการแสดงโฆษณาแบบรูปภาพควบคู่กับการให้ส่วนลดและข้อเสนอพิเศษช่วยนำลูกค้าที่มีศักยภาพกลับเข้ามาชมหน้าสินค้าที่เคยเรียกดู พร้อมกับเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการเพิ่มตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ยิ่งมีการทำรีมาร์เก็ตติ้งมากเท่าไร จำนวนผู้ชมที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นและบ่อยขึ้นเท่านั้น

การใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นกลุ่มคำ โดยมีคีย์เวิร์ดหลักพร้อมคำขยายสร้างคำใหม่ที่มีเอกลักษณ์ ทำให้จำนวนคู่แข่งมีน้อยลง โดยปกติแล้วเว็บไซต์จัดทำโครงสร้างที่ดีต้องจัดหมวดหมู่ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดด้วย เช่น เสื้อผ้าผู้ชาย > สีน้ำเงิน > ราคาไม่แพง การลำดับโครงสร้างเพจจับคู่กับคีย์เวิร์ดแบบยาวถือเป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบเว็บไซต์ให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ยิ่งเข้าใจความต้องการของลูกค้า ก็ยิ่งช่วยให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดี มีแนวโน้มที่จะเพิ่มยอดขายมากขึ้นด้วย

การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในระยะยาว โดยจะต้องคัดสรรเนื้อหาที่มีคุณภาพ พร้อมกับปรับให้เหมาะสม สำหรับ SEO ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาในเว็บไซต์ต่อเนื่อง ลูกค้าจะเข้ามาใช้บริการและส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซให้อยู่ในหน้าแรกของเครื่องมือค้นหาต่อไป วัดผลกันด้วยยอดขายสินค้าหรือบริการและกิจการที่เติบโตอย่างไม่หยุด

ด้วยวิธีของ SEO และ Search Engine นี้ จึงเป็นตัวช่วยอย่างดีสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทั้งการลดต้นทุนค่าประชาสัมพันธ์ เพิ่มยอดขาย และสร้างฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น

ประโยชน์ของ SEO ดันธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้เติบโต

ทำ SEO แล้วไม่ติดอันดับหน้าแรกของ Google ต้องแก้อย่างไร

ทำ SEO แล้วไม่ติดอันดับหน้าแรกของ Google ต้องแก้อย่างไร

การทำ SEO หรือ search engine optimization เป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์ ออนไลน์ในธุรกิจทุกประเภท เพราะจะทำให้อันดับในการถูกสืบค้นง่ายขึ้น จึงช่วยขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ส่งผลให้มียอดขายสินค้าและบริการตามมาได้

หลายคนที่ได้ลองทำ SEO ด้วยตัวเองหรือจ้างทำกับบริษัทต่าง ๆ แต่หลังจากทำแล้ว อันดับของ SEO เว็บไซต์คุณไม่ได้อยู่ในหน้าแรกอย่างที่คาดหวังไว้ เรามาดูกันว่าจะมีวิธีการจัดการอย่างไรได้บ้าง

1. ตรวจสอบ keyword

Keyword ที่ใช้ในการผลิตเนื้อหา ควรตรงกับการสืบค้นของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเสมอ หากไม่แน่ใจว่า keyword มีประสิทธิภาพไหม ควรเข้าไปใช้บริการจาก Google search Console โดยเข้าไปที่หัวข้อ performance จะมีตัวเลขและคำแนะนำให้อ่านได้อย่างละเอียด

2. ปรับโครงสร้างของเว็บไซต์

เว็บไซต์ที่ดีต้องสวยงาม และใช้งานได้ง่ายทั้งกับโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ มีการแยกประเภทหมวดหมู่สินค้าที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้งานประทับใจ รวมถึงการมี chatbot ช่วยตอบข้อสงสัยลูกค้า จะทำให้ขยายฐานลูกค้าระยะยาวได้ดีขึ้นด้วย

3. การปรับวิธีนำเสนอในเว็บไซต์

เป้าหมายคือการเพิ่มระยะเวลา Dwell time ที่หมายถึงระยะเวลาในการอ่านข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ที่คลิกเข้ามาชม เจ้าของเว็บไซต์จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการนำเสนออยู่เสมอ มีการทำคลิปของตัวเอง ที่มีการควบคุมโทนสี ธีมให้ชัดเจนเป็นเอกลักษณ์ และควรมีการแชร์บทความและคลิปจาก YouTube ที่น่าสนใจมาช่วยดึงดูดลูกค้าอีกทางหนึ่งด้วย

4. ตรวจสอบลิงก์ที่เชื่อมโยง

การมีลิงก์เชื่อมโยง ระหว่างเว็บไซต์หรือ Backlink จะช่วยให้ได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มมาจากเว็บไซต์อื่น ซึ่งจะส่งผลบวกต่ออันดับ SEO ได้ แต่ลิงก์ที่เสียหายหรือเป็นสแปม จะให้ผลในทางตรงกันข้าม คุณจึงควรเช็คว่าลิงก์ที่ทำไว้มีประสิทธิภาพดีเพียงใด โดยการเข้าไปที่ www.seoreviewtools.com แล้วเลือกหัวข้อการตรวจสอบ Backlink จะเห็นค่าตัวเลขและผลวิเคราะห์ให้คุณต่อยอดได้อีกมาก

5. ความสม่ำเสมอในการทำเนื้อหาใหม่ ๆ

การวิเคราะห์ของระบบ AI ใน Google จะมาจากการตรวจข้อมูลเป็นระยะ ๆ ผู้ที่นำเสนอเนื้อหาใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ จึงจะได้รับผลอันดับ SEO ที่ดีอยู่ในหน้าแรกของ Google การนำเสนอเนื้อหาที่มีความสดใหม่และแตกต่าง คือ หัวใจสำคัญที่ทำให้คุณมีลูกค้าประจำและลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่าลืมว่า ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลน่าสนใจจำนวนมาก หากคุณไม่สามารถทำเนื้อหาให้โดดเด่น ก็เท่ากับไม่สามารถทำให้ก้าวสู่การประสบความสำเร็จทั้งด้านอันดับ SEO และการสร้างแบรนด์ได้

การทำเว็บไซต์ SEO จำเป็นต้องใส่ใจองค์ประกอบหลายด้าน ดังที่กล่าวมา เราหวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้ทุกท่านได้ตรวจสอบคุณภาพของเว็บไซต์ SEO ด้วยตัวเอง เพื่อการปรับแก้ไขให้ถูกจุดต่อไป

ทำ SEO ด้วยตัวเองหรือจ้างทำ

Facebook ทำยังไงให้ขึ้นอันดับใน Google

การทำ Facebook เป็นร้านค้าออนไลน์ ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่ หรือต้องลงทะเบียนหลายขั้นตอนอย่างการเปิดเว็บไซต์ทั่วไป ที่ต้องเช่าโดเมน เลือก hosting และจดทะเบียนการค้า ฯลฯ แต่ก็ทำให้เข้าหาลูกค้าได้เฉพาะกลุ่มที่เล่น Facebook เท่านั้น

แต่ปัจจุบัน คุณอาจจะสังเกตเห็นแต่ว่า Facebook บางเพจสามารถติดอันดับการสืบค้นใน Google ได้ด้วย หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เปิดร้านค้าออนไลน์ อยากรู้ไหมว่าเขาทำกันได้อย่างไร มาดูคำตอบไปพร้อมกัน

การทำให้ Facebook ติดอันดับการสืบค้นใน Google ไม่ได้มาจากการซื้อพื้นที่โฆษณาอย่างหลักการ SEM หรือ search engine marketing แต่จะเป็นการทำ SEO หรือ search engine Organization ตามหลักการที่ Google กำหนด แต่ไปปรับประยุกต์ใช้กับเพจใน Facebook ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เพียงคุณรู้เทคนิคการทำ SEO และปรับใช้สม่ำเสมอ ก็จะสามารถทำให้เพจสืบค้นได้ง่ายๆ ผ่าน Google เช่นเดียวกันกับเพจที่คุณเห็นตัวอย่าง การปรับแต่งมีดังนี้

1. ช่องเกี่ยวกับหรือ about

ควรใส่ชื่อ keyword ที่ผ่านการวิจัยมาแล้วว่าตรงกับการหาของกลุ่มลูกค้า และต้องไม่ลืมใส่ชื่อร้านค้าด้วย โดยอาจหาจากช่อง Google search ที่จะมีคำอัตโนมัติขึ้นมา เมื่อคุณเริ่มพิมพ์คำเกี่ยวกับประเภทสินค้าที่ขาย ซึ่งการตั้งชื่อของเพจ Facebook ก็ต้องโดดเด่นและสัมพันธ์กับข้อมูลใน about นี้ด้วย เพื่อสื่อให้ชัดเจนถึงสินค้าที่ขาย

2. การโพสต์

ข้อมูลในแต่ละโพสต์ ควรมีทั้งรูปภาพและเนื้อหาที่น่าสนใจระบบอัลกอริทึมของ Facebook สามารถที่จะวิเคราะห์สีและรายละเอียดรูปภาพ และคาดเดาได้ว่ารูปที่คุณโพสต์เป็นภาพอะไร จึงไม่จำเป็นจะต้องกังวลเรื่องของการใส่ keyword ในรูปภาพอย่างละเอียด อย่างในการทำรูปภาพในเว็บไซต์ที่สืบค้นด้วยตรงกับ Google นอกจากนี้ ส่วนท้ายเนื้อหาโพสต์ ควรเพิ่มแฮชแท็กที่ตรงกับสินค้าหรืออยู่ในกระแสที่คนสนใจลงไป เพื่อให้อันดับ SEO ในการค้นหาดีขึ้น

3. ส่วน Backlink

การเพิ่ม Backlinkหรือการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ โดยการเอาโพสต์ที่น่าสนใจใน YouTube หรือบทความที่มีความทันสมัย และเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณมานำเสนอ โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น คุณขายวิตามินบำรุงผม ก็ควรนำเสนอบทความ หรือคลิปเกี่ยวกับการแฟชั่นเส้นผม หรือปัญหาเส้นผมที่น่าสนใจ จะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเห็นการอัปเดตในเพจของคุณ ซึ่งจะทำให้ระบบ algorithm วิเคราะห์อันดับ SEO ที่ดียิ่งขึ้นได้ด้วยFacebook ทำยังไงให้ขึ้นอันดับใน Google

จะเห็นได้ว่าการทำ Facebook ในปัจจุบัน แม้ว่าจะต้องมีการปรับตัวตามกติกาใหม่ ๆ ที่ Facebook ทำออกมาเรื่อย ๆ แต่การทำ SEO ให้กับ Facebook ก็กลับเพิ่มให้เพจคุณมีโอกาสสืบค้นได้ง่ายจากการหาในช่อง search ของ Google ได้เช่นกัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเว็บไซต์ใหม่ให้เสียค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะธุรกิจที่กำลังก่อร่างสร้างตัวในระยะแรก ที่ควรควบคุมค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุด

Google Search Console คืออะไร คนทำเว็บไซต์ SEO ต้องรู้จัก

Google Search Console เป็นหนึ่งในตัวช่วยพัฒนาเว็บไซต์ SEO ที่ดี เพราะถูกออกแบบมาให้มีฟังก์ชันหลากหลายครอบคลุม มีค่าตัวเลขสถิติต่าง ๆ ที่สามารถนำไปวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่ Google กำหนดมากที่สุด เรามาดูกันว่า Google Search Console ช่วยในการทำอะไรได้บ้าง

Google Search Console มีชื่อเดิมว่า webmaster tools มีประสิทธิภาพและในการวิเคราะห์ตัวเลขสถิติต่าง ๆ เช่น อัตราการคลิกเข้ามาชมของผู้ที่เห็นเว็บไซต์คุณในหน้าต่างการสืบค้น Google search จำนวนการคลิกที่มาจากเว็บไซต์อื่น หรือ การทำ Backlink รวมถึงการแจ้งเตือนต่าง ๆ หากเว็บไซต์ของคุณมีปัญหาทางเทคนิค จากคุณสมบัติเบื้องต้นที่กล่าวมา จึงไม่น่าแปลกใจที่กูรูด้านการตลาดออนไลน์แนะนำให้ผู้ทำ เว็บไซต์ SEO ทุกคนควรรู้จักและหัดใช้งาน Google Search Console

เมื่อติดตั้ง Google Search Console แล้ว ให้ทำการยืนยันระบุเว็บไซต์ที่คุณเป็นเจ้าของ หลังจากนั้น ใส่ชื่อผู้ดูแลลงไปในช่อง User and permission เพื่อเสริมสร้างระบบการทำงานให้ปลอดภัยครบวงจร

การใช้ Google Search Console ในการดูข้อมูลส่วนต่างๆ ได้แก่

1. การดูว่า keyword SEO ที่ใช้ในแต่ละบทความของเพจคุณ มีประสิทธิภาพในการสื่อสารเพียงใด

โดยเข้าไปที่ฟังก์ชั่น Performance และเลือกหัวข้อ search result จะเห็นเป็นกราฟเส้นที่จะแสดงผลย้อนหลังได้ถึง 3 เดือน มีตัวเลขบอกถึงจำนวนครั้งการคลิกสะสม (Total Clicks) จำนวนผู้ที่เห็นเว็บไซต์ในหน้า Google search (Total impressions) อัตราการคลิก (CTR) ที่ยิ่งมีค่ามากก็ยิ่งดี เพราะหมายถึงมีคนคลิกมากขึ้นต่อการมองเห็น 100 ครั้ง รวมถึง Average position ที่แสดงถึงอันดับของเว็บไซต์ในการปรากฏบนหน้าต่างสืบค้น Google ด้วย

2. ดูรอบการเก็บข้อมูล SEO ของ Google

การดูความเป็นปัจจุบัน ว่าหลังจากการทำ SEO ไปแล้ว ระบบอัลกอริทึมของ Google ได้มีวงรอบการเก็บข้อมูลไปวิเคราะห์รอบล่าสุดเมื่อไหร่ และมีการวิเคราะห์ผล พร้อมคำแนะนำ ชี้จุดอ่อนที่ควรพัฒนาอย่างไรอีกบ้าง มีประโยชน์ต่อการนำไปปรับปรุงเว็บไซต์โดยเร็ว จะได้เพิ่มอำนาจการแข่งขันกับธุรกิจรายอื่นในหมวดสินค้าและบริการแบบเดียวกันได้มากขึ้น โดยเข้าไปที่ส่วน URL Inspection ของ Google Search Console จะแสดงผลออกมาได้อย่างครบถ้วน

3. การเช็คผลการทำลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ

ผู้ที่มีการเชื่อมโยงลิงก์กับเว็บไซต์อื่น หากต้องการรู้ว่าประสิทธิภาพดีเพียงใด ผู้คนที่ชมเว็บไซต์ของคุณนั้นเข้ามาทางเว็บไซต์ใดบ้าง สามารถดูได้จากเมนูหัวข้อ Links จะพบทั้งส่วนวิเคราะห์ตัวเลขใน Internal และ External Link ที่ชัดเจนการใช้ Google Search Console ในการดูข้อมูลส่วนต่างๆ

จะเห็นได้ว่า Google Search Console เป็นตัวช่วยที่ทำให้คุณพัฒนาเว็บไซต์ SEO ได้หลายด้านพร้อมกัน มีการเก็บข้อมูลย้อนหลัง ที่ทำให้คุณวิเคราะห์เว็บไซต์ของตัวเองได้ง่ายขึ้น และเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของอันดับ SEO ที่ชัดเจนขึ้นหลังทำ SEO จึงนับว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่คนทำเว็บไซต์ SEO ทุกคนควรเรียนรู้เพื่อส่งเสริมธุรกิจออนไลน์ให้เติบโตยิ่งขึ้น

ความสำคัญและการเลือก keyword ในเว็บไซต์ SEO

การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ทางธุรกิจตามเกณฑ์ที่ Google กำหนด เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมาก เพราะส่งผลโดยตรงต่ออันดับในการนำเสนอเว็บไซต์ในหน้าต่างการสืบค้น ที่ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อถือและสนใจต้องการซื้อสินค้าและบริการ

ในการผลิตบทความสำหรับเว็บไซต์ SEO จึงต้องเลือก keyword ที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้วว่าตรงกับที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใช้พิมพ์ค้นหาร้านค้าหรือบริการ ซึ่งคีย์เวิร์ดนี้ยังจะถูกใช้ในการคิดหัวข้อและเขียนส่วน Meta Description ที่เป็นการสรุปเนื้อหาโดยรวมที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะได้เห็น เพื่อเป็นการจูงใจให้คลิกเข้ามาอ่านข้อมูลฉบับเต็มในเพจ แล้วนำไปสู่การขายสินค้าและบริการทางธุรกิจ

เลือก keyword ทำ SEO ต้องคำนึงถึงอะไร

การเลือก keyword ทำ SEO ควรมีเป้าหมายว่าต้องการส่งเสริมการขายสินค้าหรือบริการใด เช่น กรณีที่คุณเปิดกิจการธุรกิจด้านความงาม ต้องการส่งเสริมให้คนมาฉีดโบท็อกลดริ้วรอย ก็ควรใช้คำว่า โบท็อก ในการเป็นคีย์เวิร์ดหลักในการเขียนบทความ และนำมาผสมคำกับศัพท์อื่น ๆ ที่สามารถสืบค้นได้จากช่อง Google search

โดย Google.co.th เป็นช่องทางที่คนทั่วไปใช้พิมพ์หาข้อมูล คุณก็ทำเช่นเดียวกัน ลองพิมพ์คำว่า โบท็อก จะปรากฏตัวอย่างคำที่เคยมีคนค้นหาจริงอีกมากมาย เช่น โบท็อกคืออะไร โบท็อกที่ดีที่สุด โบท็อกที่ไหนดี โบท็อกลดริ้วรอย โบท็อกราคา เป็นต้น ซึ่งคุณสามารถนำคำสำคัญเหล่านี้มาใช้ได้

ทั้งนี้ หากเป็นคำที่มีความยาว อย่างเช่น โบท็อกยี่ห้อไหนดี 2019 กรณีนี้ เรียกว่าเป็น long Tail keyword ที่มีความจำเพาะเจาะจงต่อลูกค้าสูงกว่า การใช้คีย์เวิร์ดว่า โบท็อก เพราะกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจฉีดโบท็อก ในปี 2019 แสดงว่าต้องการข้อมูลที่ทันสมัยมาก เมื่อคุณเอาคำนี้มาผลิตบทความก็จะมีความตรงใจและได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่มากกว่าการใช้ keyword แบบสั้น ซึ่งมักต้องใช้ระยะเวลานานกว่าในการทำอันดับ SEO และสร้างฐานลูกค้าด้วยเลือก keyword ทำ SEO ต้องคำนึงถึงอะไร

นอกจากนี้ ยังสามารถหา keyword ด้วยเว็บไซต์ URL address ชื่อ https://answerthepublic.com โดยใส่ keyword ลงไปในช่องการค้นหา ก็จะปรากฏผลลัพธ์ออกมาในลักษณะเดียวกัน กับการใช้ Google search นั่นเอง แต่ในกรณีที่ต้องการข้อมูลเชิงสถิติเป็นตัวเลขเปรียบเทียบชัดเจนระหว่างคีย์เวิร์ด ว่ามีการคลิกสืบค้นด้วย keyword นั้นมากน้อยอย่างไร ก็สามารถสมัครใช้บริการของ Google เรียกว่า Google Search Console ได้ โดยไม่เสียค่าบริการ ก็จะได้ข้อมูลเชิงลึกที่ละเอียดมากขึ้น เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าคุณควรเลือกคำใดในการผลิตบทความ SEO ในช่วงเวลานั้น ๆ

จะเห็นได้ว่า การเลือก keyword เพื่อนำมาใช้ในการทำบทความ SEO มีความสำคัญ ซึ่งมีช่องทางในการค้นหาอยู่หลายเทคนิค เพียงเลือกช่องทางที่คุณสะดวก และนำ keyword นั้นมาเขียนบทความที่มีคุณภาพ ให้สาระและประโยชน์ที่ทันสมัยแก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ก็มั่นใจได้ว่าจะทำให้ธุรกิจออนไลน์เติบโตได้อย่างดีแน่นอน

SEO แบบไหนไม่ควรทำ 2019 จำเป็นต้องรู้

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ให้กับเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มีลูกค้าและยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้อันดับในการสืบค้นอยู่ใน Top 5 Top10 ของหน้าต่างการสืบค้น ใน Search Engine อย่าง Bing, Yahoo และ Google ได้

แต่การทำ SEO ที่ดีต้องมีรูปแบบที่เหมาะสมตามที่ Search Engine กำหนด หากทำ SEO ที่ผิดไปจากกฎเกณฑ์จะทำให้เสี่ยงโดนแบน ทำให้เกิดผลเสียทางธุรกิจได้สูง

เรามาดูกันว่าการทำ SEO แบบใดจะส่งผลเสียต่อธุรกิจออนไลน์ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง

1. การเปิดเว็บไซต์เพิ่มแล้วทำลิงก์แบบหลอก

การเปิดหลายเพจหรือหลายเว็บไซต์ แล้วเชื่อมโยงลิงก์ที่เรียกว่า Backlink ต่อกัน เป็นเทคนิค Off-Page SEO แบบผิด ๆ ซึ่งจะทำให้ถูกระบบ Algorithm หรือ AI อัจฉริยะของ Search Engine จับได้ และถูกแบนออกจากระบบ

2. การละเมิดลิขสิทธิ์บทความจากเว็บไซต์อื่น ๆ

การทำบทความ SEO ที่ดี จะต้องใช้ Keyword ที่มีการวิเคราะห์ว่าตรงกับการสืบค้นของลูกค้าเป้าหมาย และบทความต้องอัปเดตเนื้อหาใหม่ด้วยตนเอง การคัดลอกบทความจากแหล่งอื่นมาเท่ากับเป็นการสร้างบทความขยะหรือสแปมที่ทำให้เว็บไซต์ถูกปิดหรืออันดับ SEO ร่วงลงได้

3. การทำลิงก์ที่ไม่สมบูรณ์

ปัญหา Broken Link เป็นผลเสียทั้งต่อคุณภาพเว็บไซต์และทำให้เกิดความไม่ประทับใจในกลุ่มลูกค้าผู้ใช้งาน ทำให้ต้องสูญเสียโอกาสในการขาย และหากปัญหา Error เกิดบ่อย ก็จะทำให้ลูกค้าไม่กลับเข้ามาใช้บริการซ้ำอีก

4. เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้เป็นที่อยู่ของเว็บไซต์มีคุณภาพต่ำ

เกิดจากการเลือก Hosting ที่ไม่เหมาะสมกับขนาดธุรกิจ และมีทีมโปรแกรมเมอร์ที่ไม่ชำนาญในการแก้ไขปัญหา ทำให้เกิด Error สูง ใช้เวลาในการดาวน์โหลดข้อมูลนาน ซึ่งจะทำให้เสียโอกาสในการขายและมีผลต่ออันดับ SEO ซึ่งแน่นอนว่าจะถูกตรวจสอบได้ด้วยระบบ AI Algorithm ของ Search Engine ด้วยเช่นกันเรามาดูกันว่าการทำ SEO แบบใดจะส่งผลเสีย

5. การสร้างลิงก์เชื่อมโยงที่มากเกินไป

เกิดจากการที่ไปแปะ URL Address ไว้ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางธุรกิจออนไลน์ของคุณโดยตรง เป็นเทคนิคที่ระบบ AI ตรวจพบได้ง่าย ซึ่งจะทำให้ถูกแบนได้ในเวลาอันรวดเร็ว

6. การใส่ Keyword ที่มากเกินไป

การใส่ Keyword แบบยัดเยียดในเนื้อหา ทำให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ประทับใจ และมักไม่กลับมาใช้งานในเว็บไซต์อีก นอกจากนี้ ยังทำให้บทความนั้นกลายเป็นสแปม (Spam) จากการประมวลผลโดยการวิเคราะห์ของ AI ด้วย

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO นั้น ควรจะอยู่บนหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม การศึกษา SEO ด้วยตัวเองและลงมือทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือการจ้างบริษัทที่ไว้วางใจได้ทำ SEO ให้สอดคล้องกับรูปแบบที่ Search Engine กำหนด จะป้องกันการทำ SEO แบบผิด ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหากับธุรกิจได้

หา keyword SEO อย่างไรให้เว็บไซต์ติดอันดับ Top 10

การทำเว็บไซต์ออนไลน์จำเป็นต้องใส่ keyword SEO ที่เหมาะสม เพื่อให้บทความมีประสิทธิภาพในการสื่อสารและเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย อันจะทำให้เพิ่มฐานลูกค้าและสร้างยอดขายได้ดียิ่งขึ้น

เทคนิคในการหา keyword SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ Top 10 มีรายละเอียด ดังนี้

1. สำรวจธุรกิจตัวเองก่อน

การหาคีย์เวิร์ดพื้นฐานต้องมาจากการสำรวจตัวเองก่อนว่ามีบริการหรือจำหน่ายสินค้าใดบ้าง ใครเป็นลูกค้าเป้าหมาย ให้ทำการจดบันทึกไว้ให้หมด เช่น คุณเป็นสถาบันภาษาที่ขายคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ และมีการจัดทำหนังสือ e-book จำหน่าย นักเรียน คือ ผู้ที่ต้องการสอบ TOEFL TOEIC เพื่อเรียนต่อต่างประเทศ ฯลฯ ก็ต้องจดคำเหล่านี้ มาเป็น keyword ก่อน เพื่อการใช้โปรแกรมต่าง ๆ ช่วยต่อยอดได้มีประสิทธิภาพได้เร็วยิ่งขึ้น

2. ใช้หลักการ niche long tailed-keyword

คีย์เวิร์ดทั่วไปที่มีความหมายสั้น ๆ มักมีการแข่งขันสูง เช่น คำว่า สถาบัน สอนภาษา ทั้งยังไม่น่าสนใจและไม่ดึงดูดเพียงพอ จึงควรนำ keyword ที่จดบันทึกไว้ในข้อแรก อย่างน้อย 3 คำ มาประกอบเข้าด้วยกัน เพื่อมีแง่มุมที่หลากหลาย เช่น “สถาบันสอน ภาษาอังกฤษ toefl เรียนต่อ” หรือ “toefl ครูต่างชาติ รับประกันผล” จะเพิ่มความน่าสนใจมากกว่า และมีโอกาสที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จะพบเว็บไซต์คุณในลำดับต้น ๆ มากขึ้น

3. Google search suggestion

เชื่อว่าหลาย ๆ คนเคยใช้ google.co.th ในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถใช้ช่อง Google search suggestion เพื่อช่วยในการสร้าง niche long tailed-keyword ใหม่ ๆ ได้เช่นกัน เพียงลองพิมพ์ คำว่า สถาบันสอนภาษา จะมีคำอีกมากมาย ที่ปรากฏอยู่ในแนวด้านล่าง ให้นำมาจดไว้เพื่อใช้เขียนบทความ SEO ต่อไป เพราะมักเป็นคำที่มีการสืบค้นมากจากกลุ่มคนเป้าหมายนั่นเองเทคนิคในการหา keyword SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ

4. ใช้เว็บไซต์ answered the public

ลองใช้ตัวช่วยที่ดีอย่าง https://answerthepublic.com/ ในการหา keyword โดยนำคำว่าสถาบันสอนภาษา ใส่ในช่อง your keyword แล้วกดปุ่ม get question เพื่อให้แสดงผลลัพธ์เป็นคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ที่คนนิยมใช้ อาจมีคำใหม่ ๆ ที่คุณนึกไม่ถึง เช่น “สถาบัน สอนภาษาอังกฤษ กรุงเทพ ราคาถูก”

5. ใช้ Google search console

เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ให้ผลลัพธ์คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจ โดยจะมีการแสดงค่าเปอร์เซ็นต์ของการคลิก จำนวนครั้งในการคลิกเข้าบทความประกอบ ทำให้คุณเลือกคำที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ต่อยอดในการสร้างหัวเรื่อง (title) และผลิตบทความ SEO ที่น่าสนใจได้อีกมาก

จะเห็นได้ว่า วิธีการหา keyword SEO ที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับ Top 10 ดังที่กล่าวมา เป็นเทคนิคที่ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ทราบหลักการค้นหาและประกอบคำ ทั้งหมั่นศึกษาหาเทคนิคในการเขียนบทความ SEO ที่มีความทันสมัยของข้อมูลและใช้ภาษาที่น่าสนใจตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ก็จะทำให้ธุรกิจของออนไลน์ของคุณได้รับความสนใจจากผู้อ่านมากขึ้นและจำหน่ายสินค้า-บริการได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ทำไมนักธุรกิจรุ่นใหม่ถึงควรใช้ Niche Keyword มากกว่า Mass Keyword ทำเว็บไซต์ SEO

การทำธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันมีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเราเชื่อมโยงกันด้วยระบบอินเทอร์เน็ตแบบ 5G มีความรวดเร็วว่องไว และมีผู้ผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วโลก

Keyword SEO มีความสำคัญอย่างไร

การเลือกใช้ Keyword SEO ในการสร้างบทความคุณภาพอย่างสม่ำเสมอในเพจของคุณ โดยเฉพาะเว็บไซต์ของนักธุรกิจออนไลน์หน้าใหม่ จึงสำคัญต่อการประสบความสำเร็จในการปิดยอดขายตามไปด้วย ซึ่งกูรูทางการตลาดออนไลน์แนะนำให้ผู้ที่เปิดเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ในระยะหลัง เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เป็น Niche Keyword มากกว่า Mass Keyword ด้วยเหตุผล คือ Niche Keyword เป็นการใช้คำหรือวลีที่เฉพาะเจาะจงกับตัวสินค้า เพื่อสื่อสารตรงไปกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างชัดเจน ส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นที่จดจำได้ดีกว่าการใช้ Mass Keyword

ตัวอย่างเช่น คุณขายคีย์บอร์ดสำหรับเล่นเกมส์ออนไลน์ คุณควรจะใช้ Niche Keyword ว่า คีย์บอร์ด เล่นเกมส์ออนไลน์ E-Sport แบรนด์ญี่ปุ่น นำเข้า ราคาถูก เป็นต้น แทนที่จะใช้คำสั้น ๆ เพียง คีย์บอร์ดออนไลน์ ซึ่งไม่สื่อถึงสินค้าที่เจาะจง

เมื่อมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่กำลังสนใจเล่นเกมส์ออน์ไลน์ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน และมีกำลังซื้อพร้อม ต้องการคีย์บอร์ดออนไลน์ที่เป็นแบรนด์นำเข้าจากญี่ปุ่น มาใช้คีย์เวิร์ดดังกล่าวในการพิมพ์ค้นหา ใน Google หรือ Bing ก็จะแสดงผลเว็บไซต์ของคุณเป็นอันดับต้น ๆ คุณจึงมีโอกาสในการขายสินค้าได้ในทันทีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณใช้ Mass Keyword นอกจากจะลดโอกาสในการได้ขายสินค้าแก่ลูกค้าเฉพาะกลุ่มเหล่านี้แล้ว แบรนด์ของเว็บไซต์คุณก็จะไม่ชัดเจน ไม่เป็นที่จดจำเท่าที่ควร

ยิ่งไปกว่านั้น ต้องยอมรับว่าลูกค้าในปัจจุบันต้องการที่จะสืบค้นข้อมูลแล้วได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจอย่างรวดเร็ว เมื่อมีการพิมพ์ข้อมูลในช่อง Search ผลที่ปรากฏในหน้าการสืบค้น อันดับ 1-5 จะได้รับความสนใจคลิกเข้าไปดูและสั่งซื้อมากกว่าอันดับรองลงไปหรือในหน้าหลัง ๆ หลายเท่าตัว หากกรณีที่กล่าวมา คุณใช้คำว่า คีย์บอร์ดออนไลน์ โอกาสที่จะดึงดูดให้ลูกค้าคลิกเข้ามาชมข้อมูลและสั่งซื้อก็จะน้อยลงไป เพราะลูกค้ากลุ่มที่ต้องการสินค้าที่เฉพาะรุ่นและแบรนด์ จะรู้สึกว่าเป็นการเสียเวลาที่ต้องมาค้นหาข้อมูลเพิ่มจากเว็บไซต์ของคุณ และอาจคิดว่าคุณไม่มีรุ่นของสินค้าที่ต้องการด้วย คุณจึงพลาดโอกาสในการขายสินค้าออนไลน์ไปอย่างน่าเสียดาย และทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งรายอื่นที่เปิดเว็บไซต์มานาน ซึ่งมีฐานลูกค้าที่กว้างกว่านั่นเองKeyword SEO มีความสำคัญอย่างไร

หวังว่า บทความนี้จะทำให้ทุกท่านเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Niche Keyword และ Mass Keyword มากยิ่งขึ้น ในยุค 2019 นักธุรกิจออนไลน์รุ่นใหม่ จึงจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์แบรนด์ของตัวเองให้ชัดเจน เพื่อทำ SEO ด้วย Niche Keyword ที่เหมาะสม นำเสนอให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ได้