คลังเก็บป้ายกำกับ: SEO

5 เรื่องควรระวังที่คนทำคอนเทนต์ SEO ต้องเรียนรู้

คอนเทนต์ SEO มีความสำคัญมากในการทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน เพราะการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพจะทำให้เว็บไซต์ของบริษัทมีโอกาสติดอันดับต้น ๆ ในการค้นหาของผู้ใช้งาน จึงเป็นการสร้างโอกาสให้สามารถทำกำไรได้จากช่องทางนี้ แน่นอนว่ายิ่งให้ผลลัพธ์ที่ดี ยิ่งมีผู้สนใจและดันจำนวนคู่แข่งเรื่อง SEO ให้มากขึ้นไปอีก ผู้สร้างคอนเทนต์จึงต้องหมั่นพัฒนาเนื้อหาให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการพิจารณาข้อควรระวังทั้ง 5 ข้อต่อไปนี้

  1. อย่าคัดลอกเนื้อหาจากเว็บอื่น ๆ

คอนเทนต์มีส่วนที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกับเนื้อหาจากแหล่งอื่น ๆ มากเกินไปสามารถจับได้ง่าย ๆ ด้วยอัลกอริทึมในการวิเคราะห์ประโยคของ Google ในปัจจุบัน ทำให้การก๊อปปี้เนื้อหาจากแหล่งอื่นมาเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากและอาจทำให้เว็บไซต์ธุรกิจโดนแบนได้เลยทีเดียว จึงเป็นเรื่องที่ต้องหมั่นตรวจสอบและเน้นย้ำผู้สร้างคอนเทนต์อยู่เสมอ

  1. มีคีย์เวิร์ดมากไปแบบไม่สมเหตุสมผล

การมีคีย์เวิร์ดคุณภาพในบทความมากเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมว่าต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติของเนื้อหา และต้องพยายามสร้างคอนเทนต์ให้เกิดความน่าประทับใจสำหรับผู้ใช้งานได้จริง ๆ เพราะการยัดคำเข้าไปเยอะ ๆ อาจจะมีผลดีให้ติดอันดับเสิร์จได้ แต่ผู้ใช้งานจะไม่กดซ้ำเข้ามาอีกอย่างแน่นอน แถมถ้า Google จับได้ ยังมีโอกาสจะโดนลดอันดับได้อีกด้วย

  1. ทำแต่คอนเทนต์ตามกระแส

การทำคอนเทนต์ตามกระแสที่ร้อนแรงเป็นเรื่องดี แต่การทำคอนเทนต์ตามกระแสเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เว็บไซต์มีการเติบโตได้อย่างมั่นคง เพราะจะได้  Traffic แค่ช่วงสั้น ๆ แล้วเงียบไป ดังนั้นต้องทำคอนเทนต์ที่มีความยั่งยืนควบคู่ไปด้วยอย่างสม่ำเสมอ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการอย่างยั่งยืน

  1. ไม่ค่อยใส่ใจภาพประกอบ

ภาพและอินโฟกราฟิกที่ดีจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี ดังนั้นภาพที่นำมาใส่ต้องสวยงามและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา สื่อสารได้ชัดเจน ขนาดไม่เกิน 100 KB เพราะจะทำให้สามารถโหลดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ยิ่งถ้าเป็นภาพต้นฉบับได้จะยิ่งดึงดูดใจให้คนสนใจมากขึ้นไปอีก

  1. ไม่มีพาร์ทเนอร์ในการทำ Backlink

การทำ Backlink เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยดันผลลัพธ์การค้นหาให้สูงขึ้นได้ ดังนั้นต้องลองหาพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่สามารถสร้าง Backlink คุณภาพกลับมาที่เว็บไซต์ให้กันและกัน สิ่งนี้จะช่วยสร้างผลประโยชน์ทางบวกอย่างแน่นอน

ทั้ง 5 ข้อควรระวังเหล่านี้ ถ้าสามารถจัดการดูแลได้อย่างดีในขั้นตอนของการทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้อย่างใจ ยิ่งถ้าควบคู่มากกับสินค้าและบริการที่ยอดเยี่ยม จะสามารถจับใจของลูกค้าและครองตลาดได้อย่างมั่นคง ดังนั้นใครที่กำลังทำคอนเทนต์ SEO อย่าลืมพิจารณาทั้ง 5 ข้อนี้ไว้ให้ดีและนำไปปรับใช้ได้ตามสถานการณ์ของตนเองได้เลย

รวมข้อควรรู้เกี่ยวกับ URLs ที่ส่งผลดีต่อการทำ SEO

ทุกปัจจัยเล็ก ๆ บนเว็บไซต์ส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่ง URLs ที่เป็นดั่งที่อยู่ของหน้าเว็บไซต์นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยนั้น เพราะการออกแบบโครงสร้างและลักษณะของ URLs ให้มีประสิทธิภาพ จะส่งผลลัพธ์ในแง่บวกในกระบวนการของการทำ SEO และยังช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ ทำให้มีโอกาสสร้างรายได้จากการทำการตลาดออนไลน์อีกด้วย ดังนั้นเว็บไซต์ไหนที่ยังไม่มีการจัดการเรื่อง URLs อย่างจริงจัง ต้องห้ามปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป ลองไปเรียนรู้ด้วยกันว่าเรื่องที่ต้องเข้าใจเกี่ยวกับ URLs มีอะไรบ้าง

  1. ลักษณะ URLs ที่ดีเป็นยังไง

URLs ที่ถูกใจทั้งผู้อ่านและถูกใจอัลกอริทึมของ Google ต้องมีลักษณะที่ค่อนข้างสั้นและตรงประเด็น ควรประกอบไปด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา สามารถมอง URLs แล้วเดาได้ว่าหน้าเพจนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอะไร ดังนั้นไม่ควรประกอบไปด้วยตัวเลขหรือตัวอักษรที่ไม่มีความหมาย นอกจากนั้นคำบางอย่างที่ไม่จำเป็น เช่น a an for so but สามารถตัดออกได้ โดยเชื่อมคำต่าง ๆ บน URLs ด้วย – (Hyphens) จะอ่านง่ายและสะดวกต่อผู้ใช้งานมากที่สุด

  1. ทำให้ได้อันดับดีบน Google

ถ้าสามารถสร้าง URLs ให้มีลักษณะที่ดีตามที่แนะนำในหัวข้อก่อนหน้านี้ได้ จะทำให้ได้รับคะแนนสูงจากผู้ตรวจของ Google ที่เป็น AI หลากหลายตัว ที่ทำหน้าที่ในการเช็คเว็บไซต์ต่าง ๆ ว่ามีลักษณะดีในแบบที่ Google ต้องการหรือไม่ จะเห็นว่า URLs ที่ดีจะต้องสามารถอ่านได้โดยคนทั่วไปและยังต้องมีลักษณะตามที่ AI ต้องการอีกด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่จะได้คือลำดับเว็บไซต์ที่สูงขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้ที่กำลังค้นหาข้อมูลใน Google นั่นเอง

  1. แชร์ง่าย ส่งต่อได้บนโซเชียล

URLs ที่อ่านง่ายและกระชับจะสามารถนำไปแชร์ต่อบนช่องทางต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะดูน่าเชื่อถือ ไม่เหมือนลิงก์สแปม ทำให้ช่วยสร้างความมั่นใจในสายตาของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างโอกาสที่เว็บไซต์จะได้รับการจดจำจากผู้ใช้งาน เมื่อเกิด Backlink ที่มีประสิทธิภาพมาสู่หน้าเว็บไซต์ จะช่วยดันอันดับของ SEO ให้สูงขึ้นได้อย่างมั่นคง ข้อควรระวังคือ URLs ที่เป็นภาษาไทย เมื่อถูก copy เพื่อนำไปแชร์ต่อ จะกลายเป็นภาษาต่างดาว ดังนั้นแนะนำให้ใช้ URLs ภาษาอังกฤษจะสะดวกสบายกว่าในการส่งต่อ

  1. อย่าใช้ URLs ที่มีการระบุวันที่

บางครั้งเมื่อให้ซอฟแวร์สร้าง URLs ให้อัตโนมัติ จะมีการใส่วันที่สร้างหน้าเพจบน URLs ซึ่งสิ่งนี้อาจจะดูสะดวกสบายในสายตาผู้สร้าง แต่ไม่ส่งผลดีต่อ SEO เลย เพราะเป็นการระบุเจาะจงวันที่ลงไป จึงทำให้ผู้ใช้งานอาจจะคิดว่าเนื้อหานี้ไม่อัพเดทแล้วเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ดังนั้นอย่าระบุวันที่ลงบน URLs จะทำให้เนื้อหาดูสดใหม่ แถมเมื่อเข้าไปทำการแก้ไขเนื้อหาอีกครั้ง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปแก้ไขเพื่อเชื่อมอันเก่ามาสู่อันใหม่อีกด้วย

ทั้งหมดนี้คือข้อควรรู้ของการสร้าง URLs เพื่อส่งเสริมการทำ SEO บนเว็บไซต์ จะเห็นว่าการแก้ไขจุดต่าง ๆ ของ URLs ให้ถูกใจอัลกอริทึมของ Google ไม่ใช่สิ่งที่ยากหรือซับซ้อนเกินจะทำความเข้าใจ ดังนั้นเสียเวลาเพิ่มอีกสักนิด ใส่ใจกับจุดเล็ก ๆ เหล่านี้มากขึ้น จะทำให้การทำ SEO สามารถประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจแน่นอน

เปิดใจให้ SEO ในยุคของการทำการตลาดในโลกดิจิทัล

ถ้าพูดถึงการทำการตลาดที่มาแรงและมีที่สุดในตอนนี้ ก็ต้องยกให้การตลาดแบบดิจทัล เนื่องด้วยธุรกิจในปัจจุบันอยู่ในช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เป็นช่องทางที่ผู้คนสามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงได้ง่ายดายเพียงแค่มีอุปกรณ์มือถือ คอมพิวเตอร์ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ การทำ SEO สำหรับเจ้าของแบรนด์ในตลาดดิจิตอลจึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ เนื่องด้วยในปัจจุบันผู้คนมีการสืบค้นข้อมูลผ่านช่องทาง google เป็นจำนวนมากทั่วทั้งโลก  ทั้งนี้หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าการทำ SEO นั้นมีประโยชน์และจำเป็นต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง ตามไปพบกับคำตอบกันได้เลย

ประโยชน์ของการทำ SEO ในตลาดดิจิตอล

  • ช่วยส่งเสริมเรื่องการจดจำแบรนด์สินค้าหรือบริการของคุณ ด้วยเมื่อมีการกดค้นหาเว็บไซต์หรือข้อมูลผ่านคีย์เวิร์ดต่าง ๆ แล้วเว็บไซต์อยู่ในหน้าการค้นหาต้น ๆ จากการทำ SEO ที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ผู้คนหรือกลุ่มเป้าหมายสามารถที่จะมีการจดจำแบรนด์ได้มากขึ้น เพราะพบเห็นได้บ่อยมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
  • ช่วยให้เราสามารถเพิ่มยอดขายหรือฐานลูกค้ามากกว่าที่เคย ด้วยการที่ทำ SEO นั้นสามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นจากการจัดอันดับเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งอาศัยองค์ประกอบหลากหลายอย่าง ผู้คนที่เข้ามาโดยผ่านทาง Search engine เป็นผู้คนที่มีความสนใจในสินค้าบริการเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสในการกดเข้าไปรับชมเว็บไซต์ของทางแบรนด์ก็จะทำให้มีโอกาสในการสนใจสินค้าและบริการ เพิ่มการต่อยอดการขายได้มากขึ้น
  • สามารถโปรโมทเว็บไซต์โดยไม่ต้องใช้งบประมาณในการโฆษณา อย่างที่จะเคยพบเห็นเว็บไซต์ในหน้าของผลลัพธ์ในการค้นหาที่อยู่ในพื้นที่โฆษณา แล้วจะเห็นว่าในหน้านั้น ๆ มีเว็บไซต์อื่น ๆ ที่อยู่รองลงมาด้านล่างที่ไม่ใช่เป็นพื้นที่โฆษณา เว็บไซต์เหล่านั้นก็คือเว็บไซต์ที่ได้รับการจัดอันดับขึ้นมาผ่านการประเมินด้วยการวัดผลและเกณฑ์ต่าง ๆ ของทาง google ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็เว็บไซต์ที่มีการทำ SEO อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านและผู้เข้ารับชม โดยถ้าเจ้าของเว็บไซต์ให้ความสำคัญกับการทำ SEO มีความสม่ำเสมอและทำอย่างถูกวิธี การไปเป็นเว็บไซต์ในหน้าการค้นหาแรก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน

และทั้งหมดนี้ก็เป็นประโยชน์ของการทำ SEO ในยุคของตลาดดิจิตอล ที่ดีต่อแบรนด์หรือธุรกิจของคุณในระยะสั้นและระยะยาว ช่วยสร้างคุณภาพและมาตรฐานในการทำเว็บไซต์ให้ก้าวไปอีกขั้น เป็นหนึ่งในกระบวนการทำการตลาดแบบออนไลน์ที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดี เหมาะสำหรับเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการการเตรียมพร้อมรับการทำตลาดในโลกดิจิตอลแบบมั่นใจ

Off-Page SEO สิ่งสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ

การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาใน Google เพื่อให้ลูกค้าเห็นสินค้าและบริการของเราเป็นอันดับแรก ๆ นั้นมีสองวิธีคือ ซื้อพื้นที่โฆษณาของ Google ซึ่งมีราคาตั้งแต่หลักสิบไปถึงหลักล้านบาท และอีกวิธีหนึ่งที่ไม่เสียเงินแล้วยังทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบธรรมชาติและยาวนาน นั่นคือการทำ SEO การทำ SEO นั้นมีหลายส่วน วันนี้เรามาดูส่วนของ Off-Page SEO กัน

OFF-Page SEO คืออะไร

Off-Page SEO คือการสร้าง Traffic หรือการทำให้มีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์จำนวนมาก ส่งผลให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยม จึงติดอันดับของ Google ในที่สุด

Off-Page SEO ทำได้ดังนี้

สร้าง Digital Branding – Digital Branding คือการสร้างแบรนด์สินค้าบนโลกออนไลน์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ตั้งชื่อให้สินค้าที่เราจะขายบนอินเทอร์เน็ตนั่นเอง สิ่งนี้จำเป็นเพราะจะเพิ่มความชัดเจนและโดดเด่นของตัวสินค้าและความน่าเชื่อถือ หากไม่มีชื่อแบรนด์ลูกค้าก็ยากที่จะจำสินค้าของเราได้และโอกาสที่จะกลับมาซื้ออีกก็มีน้อย

สร้าง Backlink – Backlink คือลิงก์หรือ URL ที่กดแล้วเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา เป็นปัจจัยหลักในการทำ Off-Page SEO เมื่อได้ Backlink แล้วก็นำไปแปะในเว็บไซต์อื่น ๆ อย่างเช่น เว็บไซต์พันทิป ( Pantip.com ) เมื่อมีคนตั้งกระทู้ว่า “ แนะนำมือถือ สเป็กดี งบไม่เกิน 5,000 หน่อยค่ะ ” ก็เข้าไปตอบกระทู้นั้น โดยแปะลิงก์ร้านขายมือถือของเรา แบบนี้เป็นต้น แต่การแปะ Backlink ต้องดูความเหมาะสมและต้องเคารพกฎของเว็บไซต์นั้นด้วย

สร้างโปรไฟล์แบรนด์ของเราในโซเชียลมีเดีย – สร้าง Facebook, Instagram, Tiktok หรือ Youtube นำลิงก์ของเราไปแปะไว้ ตัวอย่างเช่น โซเชียลมีเดียอาจเอาไว้ให้ลูกค้าสอบถามข้อมูล แต่หากลูกค้าอยากดูสินค้าให้กดลิงค์เข้ามาในเว็บไซต์และทำการซื้อของในเว็บไซต์

ข้อควรระวังในการทำ Backlink

Backlink คือปัจจัยหลักในการทำ Off-Page SEO ไม่ควรทำลิงก์เชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่นที่เว็บไซต์นั้น ๆ มีเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับเว็บไซต์ของเรา ไม่ควรใช้โปรแกรมสร้างลิงก์อัตโนมัติ (Automatic Link Building Program) ที่ผลิตลิงก์เยอะ ๆ ไม่ควรสร้าง Content หลอก ๆ มาเพื่อยิงลิงค์ออกเพียงอย่างเดียว การทำแบบนี้จะถูก Search Engin มองว่าเป็นสแปมและเว็บไซต์อาจจะถูกแบนได้

อยากให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จหรือติดอันดับการค้นหาต้องทำ Off-Page SEO ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ คือการทำ Off-Page SEO คือการทำ Backlink ทั้งนี้ควรทำ Backlink ให้ถูกต้องและมีคุณภาพ เพราะหากหันไปใช้วิธีลัดด้วย Backlink ปลอม ๆ เว็บไซต์ที่ทำมาเหนื่อยยากแสนเข็นอาจถูกปิดหรือแบนได้

แจกเทคนิค 5 ข้อในการทำ SEO แบบง่าย ๆ ให้ติดอันดับบน Google

SEO (Search Engine Optimization) หมายถึงการบริหารจัดการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ให้มีการแสดงผลลัพธ์ของการค้นหาใน Search Engine หรือ Google โดยต้องใช้การกรอกคีย์เวิร์ด (Keyword) ของคำที่ต้องการค้นหาเข้าไปในแถบเครื่องมือนั่นหมายถึงหากหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจมีคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่คนนิยมใช้ค้นหามากเท่าไหร่แบรนด์ของธุรกิจก็จะมีโอกาสให้ผู้คนได้ค้นพบเจอมากเท่านั้น นอกจากนี้ยังจะต้องประกอบไปด้วยเทคนิคอื่น ๆ ในการจัดการหน้าเว็บไซต์ด้วยถึงทำให้การทำ SEO เกิดประสิทธิภาพสูงสุดประกอบด้วย

  1. การวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ อย่างเช่น ทำธุรกิจขายเสื้อผ้า บนหน้าเพจหรือเว็บไซต์จะมีแต่คำว่าเสื้อผ้าอย่างเดียวไม่ได้ ควรมีคีย์เวิร์ด (Keyword) สำคัญอย่างอื่นร่วมด้วยเช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนม หรือชุดเซ็ตวัยรุ่น เป็นต้น เพราะคีย์เวิร์ด (Keyword) แวดล้อมเหล่านี้แม้จะไม่ใช่คำที่คนใช้ค้นหากันมากแต่ก็ยังพอมี traffic อยู่บ้างซึ่งจะเป็นโอกาสให้คนค้นหาเว็บไซต์ของธุรกิจเจอง่ายยิ่งขึ้น
  2. หน้าเว็บไซต์ต้องใช้งานได้ง่าย ต้องอย่าลืมว่าคู่แข่งบนโลกออนไลน์มีมากมายหลากหลาย ทางเลือกของผู้บริโภคก็มีมากเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าคนค้นหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจเจอแล้ว แต่บรรดาแถบเครื่องมือบนหน้าเว็บไซต์ใช้งานยากเหลือเกิน หรือต้องการจะค้นหาสิ่งใดในหน้าเว็บไซต์ก็ใช้งานลำบากก็เป็นการตัดโอกาสการเข้าถึงข้อมูลของสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้ ดังนั้นคอนเซปต์ของการออกแบบหน้าเว็บไซต์นอกจากสวยงามสะดุดตาแล้วยังต้องให้ใช้งานได้ง่ายและลื่นไหลด้วย
  3. คอนเทนต์ต้องมีคุณภาพ ยิ่งเป็นคอนเทนต์ตามยุคตามเทรนด์หรือให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคต้องยิ่งแสดงให้มากเข้า เพราะ Google ก็มีการจัดอันดับคอนเทนต์ของเว็บไซต์ธุรกิจด้วย หากคุณภาพของคอนเทนต์ดีจะเป็นการเพิ่มคุณภาพของ link และระดับคะแนนของเว็บไซต์จะทำให้ผู้คนเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจได้ง่าย เร็ว และแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น
  4. การสร้างการเชื่อมโยงของ link เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาคอนเทนต์และคีย์เวิร์ด กล่าวคือการมีช่องทางเครือข่ายของ link ที่อ้างอิงมาสู่หน้าเว็บไซต์ของธุรกิจได้จะเป็นการเพิ่มแต้มและอันดับของเว็บไซต์ธุรกิจบนหน้า Google ให้ดียิ่งขึ้น เทคนิคหนึ่งที่คนนิยมใช้คือการใช้ blog ของ Influencer เชื่อมโยงมาสู่หน้าเว็บไซต์ธุรกิจ
  5. ใช้ประโยชน์จาก Social Media ให้เป็นคือต้องเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคือคนกลุ่มใดแล้วเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมในการสื่อสารภาพของธุรกิจไปยังกลุ่มเป้าหมายนั้น เทคนิคง่าย ๆ คือการสร้างสัมพันธ์กับ Influencer ที่มีผู้ติดตามมาก ๆ เพื่อให้พวกเขาช่วยเป็นกระบอกเสียงสื่อสารถึงภาพแบรนด์ของธุรกิจให้รู้จักกันเป็นวงกว้าง

สรุปก็คือหากธุรกิจต้องการประสบความสำเร็จในยุค 4G SEO คือเครื่องมือที่ง่ายที่สุด และใช้งบประมาณน้อยที่สุดในการโปรโมทให้คนภายนอกได้สัมผัสกับตัวตนของธุรกิจได้เร็วและแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงต้องนำเทคนิคในการทำ SEO มาใช้ให้มีประสิทธิภาพเพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างสูงสุด

google insight คืออะไร ?

แม้ว่าในปัจจุบันจะมีจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ Social media ค้นหาข้อมูลบนโลกอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นแต่ Google Search ยังคงครองอันดับหนึ่งในการค้นหาข้อมูลในปี พ.ศ.2565 เนื่องจาก Google Search ได้รวบรวมข้อมูลที่ถูกเผยแพร่เอาไว้ในโลกอินเทอร์เน็ตและทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นว่ามีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายมากน้อยเพียงใด จากนั้นจึงทำการจัดอันดับเว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานมากที่สุด โดยหลักการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้ติดอันดับในหน้าแรกของ Google เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ Keyword (คำค้นหา) ที่มีจำนวนกลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหาข้อมูล จากนั้นนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ Content ที่กลุ่มเป้าหมายต้องการและมีการทำ Backlink หรือแทรกลิงก์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ซึ่งขั้นตอนในการทำ Content ให้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ดังกล่าวนี้เป็นเพียงวิธีการอย่างย่อและในความเป็นจริงของการทำอันดับจะมีความซับซ้อนมากกว่านี้

google insight สำคัญต่อการทำ SEO อย่างไร?

พันธกิจของ Google มุ่งเน้นเรื่องการจัดระเบียบข้อมูลให้เข้าถึงง่ายและมีประโยชน์มากที่สุด ทำให้การนำ google insight มาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหา Content ตามที่ Google แนะนำจะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ได้ง่ายขึ้นและหากหมั่นปรับปรุงเนื้อหาตามที่ Google insight ก็สามารถคงอันดับได้นานขึ้นด้วย

google insight คือ เครื่องมือที่ Google พัฒนาขึ้นมาเพื่อ Content Creator โดยเฉพาะ เพื่อให้ Content Creator สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาคอนเทนต์ได้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำเว็บไซต์ขนาดใหญ่อย่างพวก ผลบอล888 จำเป็นต้องวิเคราะห์กลุ่มคีย์เวิร์ดให้กว้าง โดยลักษณะการทำงานของ google insight จะทำการแสดงผลลัพธ์ที่ช่วยให้การทำคอนเทนต์ง่ายมากขึ้น ดังนี้

แสดงหน้าเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เช่น คอนเทนต์เกี่ยวกับการให้ข้อมูล, คอนเทนต์เกี่ยวกับการเดินทางหรือช่องทางไปยังที่ใดที่หนึ่ง, คอนเทนต์เกี่ยวกับตัวเลือกเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบข้อมูล หรือคอนเทนต์ของ E-Commence เป็นต้น

แสดง Keyword (คำค้นหา) ที่ถูกนำมาใช้ในหน้าเว็บไซต์ยอดนิยม
Content Style ที่กลุ่มเป้าหมายชื่นชอบ เช่น คอนเทนต์จำพวกบทความ, Infographic หรือ VDO เป็นต้น

วิธีใช้งาน google insight แสนง่าย

เพียงคลิกลิงก์ https://search.google.com/search-console/insights/about เพื่อเข้าสู่เว็บไซต์ จากนั้นคลิกเมนู search console insights และทำการติดตั้ง search console insights กับเว็บไซต์ของตัวเองเพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย เมื่อเชื่อมต่อเว็บไซต์ของตัวเองเข้ากับ google insight เรียบร้อย จะเห็นภาพรวมของเว็บไซต์เราในมุมมองของ Google ซึ่งจะทำให้เราทราบถึงจำนวนผู้คลิกเข้าสู่เว็บไซต์และ Keyword หรือคำค้นหาที่ใช้ถูกใช้ในการค้นหาเว็บไซต์ของเรา รวมถึงอันดับในการแสดงผลจาก Keyword

หากต้องการเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ด้วย google insight ควรเริ่มต้นด้วยการนำ Primary Keyword ที่ต้องการติดอันดับไปค้นหาใน Google จากนั้นให้สังเกตสไตล์การเขียน หัวข้อและประเภทของคอนเทนต์ที่แสดงบนหน้าแรกของ Google และนำไปปรับใช้กับ Content ของตัวเอง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนหน้าแรกได้ง่ายขึ้น

SEO คำตอบของการทำการตลาดออนไลน์

SEO คำตอบของการทำการตลาดออนไลน์

เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมหลาย ๆ ธุรกิจหรือหลาย ๆ แบรนด์ถึงมีการเติบโตได้เร็ว ทั้งที่มีการก่อตั้งมาไม่ได้นานมากหรือมีฐานลูกค้าเดิมอยู่ก่อนหน้าแล้ว ทั้งยังไม่ได้มีเงินทุนหนาสำหรับงบประมาณในส่วนการทำโฆษณาหรือโปรโมทผ่านช่องทางต่าง ๆ นอกจากสินค้าและบริการที่มีคุณภาพดีถูกใจผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการแล้ว ส่วนสำคัญก็มาจากการวางแผนทางการตลาดและมีเทคนิคในการทำการตลาดที่ดี ทั้งการตลาดทั่วไปและการตลาดแบบดิจิทัล ซึ่งเน้นในแนวทางของการทำ SEO เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจนั่นเอง

SEO สร้างผลลัพธ์ที่แตกต่าง

การเรียนรู้วิธีการทำการตลาดในยุคดิจิทัลด้วย SEO เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลย แม้ว่า SEO จะต้องอาศัยระยะเวลาในการทำพอสมควร แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว ถือเป็นการทำการตลาดแบบได้ผลลัพธ์แบบ organic นั่นก็คือ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ว่าจะเป็นยอดการรับชมเว็บไซต์ การกดลิงก์ต่าง ๆ ไม่ได้ผ่านการโฆษณาเลย ซึ่งถ้าหากว่าเจ้าของแบรนด์ทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพเหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์หรือสินค้านั้น ๆ ก็จะช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมากทีเดียว

อย่างที่เราทราบกันดีว่า SEO ถือเป็นวิธีการที่จะช่วยให้เว็บไซต์ติดลำดับการค้นหาที่ดี ในส่วนของ เว็บไซต์ search engine อย่างเว็บไซต์ Google จะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลื่อนลำดับในหน้าค้นหาด้วยกันหลากหลายอย่าง ดังนั้นสิ่งที่เจ้าของแบรนด์สามารถทำได้คือ ทำตามความต้องการของเว็บ search engine นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ในจำนวนที่เยอะและเนื้อหาภายในเว็บไซต์มีความน่าสนใจและเหมาะกับผู้ใช้งาน ทาง Google ก็จะมีการพิจารณาปรับลำดับขึ้นมาได้

ในส่วนนี้ keyword หรือคำสำคัญที่เลือกใส่ในเนื้อหาบทความต่าง ๆ มีความสำคัญมาก ไม่ใช่แค่เพียงคำที่เลือกนำมาใช้เป็น keyword แต่ยังรวมถึงความถี่ในการใส่ด้วย ไม่ควรจะเยอะหรือน้อยจนเกินไปเพราะจะทำให้เนื้อหานั้น ๆ ไม่เป็นที่ชื่นชอบของ Google ทั้งนี้ ในส่วนของการเขียน ควรที่จะมีเทคนิคที่เป็นธรรมชาติเพื่อให้ผู้อ่านสามารถรับข้อมูลสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม และไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการยัดเยียดหรือตั้งใจขายสินค้ามากเกินไป โดยลืมที่จะใส่ใจประโยชน์ของผู้บริโภค

SEO เหมาะสำหรับใคร?

ต้องบอกเลยว่าเหมาะสำหรับทุกคนที่ทำธุรกิจสินค้าหรือบริการทุก ๆ ประเภท มีการขายสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้งผู้ที่มีหน้าร้านหรือไม่มีหน้าร้านก็ตาม รวมทั้งผู้ที่ต้องการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ เพิ่มฐานลูกค้า เป็นต้น

จากทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าการทำ SEO นั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตลาดออนไลน์ค่อนข้างมาก ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาสินค้าและยังเป็นวิธีที่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้จริง ตอบโจทย์การทำการตลาดออนไลน์ได้เป็นอย่างดี

การเลือกใช้ CMS มีผลกับการทำ SEO อย่างไร

CMS ไม่ได้เป็นส่วนสำคัญของการออกแบบและอัปเดตเนื้อหาบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ใครจะรู้ล่ะว่าการเลือกใช้ CMS ก็มีผลต่อการทำ SEO ได้เหมือนกัน เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าในมุมมองของการทำการตลาดออนไลน์นั้น CMS จะช่วยดันอันดับ SEO เว็บไซต์ของแบรนด์ต่าง ๆ ให้ขึ้นไปอยู่หน้าแรกได้อย่างไรบ้าง

CMS ที่ดีช่วยดัน SEO ได้ง่าย

CMS ที่เป็น SEO friendly ช่วยให้คนทำคอนเทนต์สามารถสร้าง permalink เองได้ รวมถึง metadata และ snippet ต่าง ๆ ที่มีผลต่อการทำ SEO ด้วย หาก CMS ที่คุณใช้ไม่เอื้อต่อการสร้างข้อมูลเหล่านี้ อาจทำให้คุณพลาดการขึ้นไปอยู่ในหน้าแรกของ search engine แบบน่าเสียดาย

ทำให้พนักงานที่มีหน้าที่อัปเดตคอนเทนต์เหนื่อยน้อยลง

พนักงานที่มีหน้าที่อัปเดตคอนเทนต์อาจไม่ได้บ่นให้คุณฟัง แต่เชื่อได้เลยว่าหากคุณมี CMS ที่ดีเข้ามาเป็นตัวช่วยในการสร้าง SEO จะทำให้พนักงานของคุณเหนื่อยน้อยลงไปมาก เพราะมันจะช่วยให้การจัดการทุกอย่างดูง่ายขึ้นและเป็นระเบียบมากกว่าเดิม

เว็บไซต์ของคุณจะทนทานจะต่อเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม

เมื่อไหร่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมของ search engine หลายเว็บไซต์จะถูกดันให้ตกอันดับ แต่สำหรับเว็บไซต์ที่ได้รับการจัดระเบียบมาเป็นอย่างดีจะอยู่ได้ทนและอยู่ได้นาน เพราะไม่ว่าอัลกอริทึมของ search engine จะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ก็มีจุดยืนที่ชัดเจนนั่นเอง

CMS ที่เป็น mobile friendly มีผลกับการทำการตลาด

แน่นอนว่าสมัยนี้ลูกค้าของคุณต่างใช้มือถือเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งการทำเนื้อหาก็ต้องเป็นเนื้อหาที่แสดงผลหน้าจอของมือถือได้ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นมือถือรุ่นไหนก็ควร responsive หากเว็บไซต์ของคุณยังต้องให้ลูกค้าซูมเข้าซูมออกเพื่อเปิดอ่านเนื้อหาแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าคุณกำลังสร้างประสบการณ์ที่ไม่น่าประทับใจต่อลูกค้าอยู่ก็ได้

เว็บไซต์ของคุณจะดูดีและน่าเชื่อถือ

ใช่แล้วล่ะ เว็บไซต์ที่ดูดี ถูกจัดวางในตำแหน่งที่เป็นระเบียบและมีเครื่องมือช่วยให้ค้นหาเนื้อหาได้ง่ายย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะคอนเทนต์ที่ดีควรมี CMS ที่เจ๋ง ๆ เป็นหลังบ้านแล้วคอนเทนต์ที่ดีนี่เอง จะช่วยสร้าง UX หรือประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งานได้ดีกว่าเว็บไซต์ที่มีการวางเนื้อหากระจัดกระจายจนดูไม่น่าเปิดไปอ่านซ้ำอีก

มาถึงตรงนี้แล้ว เจ้าของแบรนด์และคนทำเว็บไซต์หลายคนต้องหันมาสำรวจแล้วล่ะ ว่าเว็บไซต์ของคุณใช้ CMS ตัวไหนในการสร้างเว็บไซต์และอัปเดตคอนเทนต์อยู่ เพราะถ้าเป็น CMS ที่ไม่เอื้อต่อการทำเนื้อหาบนเว็บไซต์แล้วล่ะก็ อาจถึงเวลาต้องเปลี่ยนเพื่ออันดับของ SEO ที่ดีกว่าแล้วล่ะ

ทำปฏิทินสร้างเนื้อหา SEO ให้มีประสิทธิภาพด้วยทิป 5 ข้อ

ทำปฏิทินสร้างเนื้อหา SEO ให้มีประสิทธิภาพด้วยทิป 5 ข้อ

การสร้างเนื้อหา SEO นั้นเป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้ว เพราะต้องใช้เวลาในการสร้างและคิดไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้การสร้าง SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็คือ การทำปฏิทินเพื่อควบคุมวิธีการทำงานให้อยู่ในเวลาที่กำหนดและทำให้การทำงานไม่หลุดเป้าหมายนั่นเอง ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีทำงานบนปฏิทิน SEO ให้มีศักยภาพมากขึ้น อย่าพลาดทิป 4 ข้อนี้เด็ดขาด

วิธีทำงานบนปฏิทิน SEO ให้มีศักยภาพ

มีเนื้อหารายปักษ์หรือรายสัปดาห์ : การวางแผนให้มีเนื้อหารายปักษ์หรือรายสัปดาห์ซึ่งเป็นเนื้อหาพิเศษ เช่น ข้อมูลสถิติ การรายงาน นั้นจะทำให้คนติดตามคุณตื่นเต้นไปกับเนื้อหาที่คุณกำลังเตรียมเอาไว้ แล้วยังทำให้พวกเขารู้ได้ล่วงหน้าว่าคุณมีนัดกับแฟน ๆ ของคุณเมื่อไหร่บ้าง โดยวิธีการนี้จะทำให้คุณสนุกไปกับการวางแผนเนื้อหา SEO ลงบนปฏิทินด้วย

ใช้ Google calendar เข้ามาเป็นตัวช่วย : ปฏิทินบนมือถือหรือปฏิทินจาก Google นั้นเป็นตัวช่วยที่ดีในการวางแผนกิจกรรม SEO ที่คุณจะต้องทำได้เป็นอย่างดี เพราะคุณสามารถใส่รายละเอียดต่าง ๆ ลงไปด้านในโดยหยิบมาดูจากมือถือได้ตลอดเวลา โดยในแอปพลิเคชันยังมีฟังก์ชันแจ้งเตือน เพื่อป้องกันไม่ให้คุณลืม อีกทั้งสามารถทำนัดโดยระบุวัน เวลา และ สถานที่ ได้อีกด้วย

ให้เวลากับตัวเอง : การวางแผนกิจกรรมการทำ SEO ลงบนปฏิทินนั้นอาจดูไม่ใช่เรื่องยาก แต่ค่อนข้างมีรายละเอียดที่คุณต้องใส่ใจเยอะเลยทีเดียวล่ะ เพราะอย่างน้อยรายละเอียดในปฏิทินจะต้องมีหัวข้อของเนื้อหาที่คุณต้องการเขียน การให้เวลาคิดในที่เงียบ ๆ กับตัวเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

มีธีมเป็นตัวช่วยควบคุมการวางเนื้อหาตามปฏิทิน : เช่นเดียวกับการออกแบบงานหลายอย่าง การมีธีมเป็นสิ่งที่กำหนดเอาไว้จะเป็นตัวช่วยให้การวางแผนในปฏิทินง่ายขึ้นกว่าเดิม และเป็นการตีกรอบให้คุณไม่ต้องคิดออกนอกเรื่องได้อย่างดีเลยทีเดียว เช่น เนื้อหาในเดือนเมษายนที่กำลังจะมาถึงนั้น แนวความคิดหลักหรือธีมของการนำเสนอ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการออกจากบ้านไปเล่นน้ำสงกรานต์ในฤดูร้อน

อย่าวางแผนยาวเกินไป : การวางแผนกิจกรรมในปฏิทินระยะยาวล่วงหน้า 6 เดือนเป็นต้นไปนั้น จะทำให้คุณใช้เวลาในการคิดนานพอสมควร อีกทั้งในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น ขอแค่คุณวางแผนเบื้องต้นเอาไว้แต่ไม่จำเป็นต้องเติมหัวข้อของเนื้อหาลงในปฏิทิน เพื่อให้คุณประหยัดเวลาและไม่ต้องมาแก้ไขทีหลัง

หลังจากนี้ให้คุณลองนำทิปทั้ง 4 ข้อนี้ไปลองใช้กับการทำงานเพื่อแข่งกับเวลาดูสิ แล้วจะรู้ได้เลยทันทีว่าการวางแผนแบบนี้จะช่วยให้เวลาที่ผ่านไปนั้นคุ้มค่า และทำให้ การทำ SEO ไม่เป็นเรื่องที่เหนื่อยจนเกินไป แม้ว่าจะมีคู่แข่งกี่รายก็สู้ไหว

วิธีทำงานบนปฏิทิน SEO ให้มีศักยภาพ

ประโยชน์ของ SEO ดันธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้เติบโต

ประโยชน์การตลาดออนไลน์แบบ SEO

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะอยู่รอดได้ก็ด้วยการดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเดิมไว้ นับเป็นหลักการสำคัญที่ควรยึดถือไว้อย่างเหนียวแน่น การทำ SEO เกิดประโยชน์โดยตรงในด้านกระตุ้นการขายสินค้าและบริการบนเว็บไซต์ ช่วยลดต้นทุนพร้อมกับดันยอดขายเพิ่มขึ้น เว็บไซต์ที่ผ่านการทำ SEO จะแตกต่างจากเว็บไซต์ปกติ เข้าถึงง่าย ใช้งานสะดวก และเป็นเครื่องมือช่วยจัดการยอดขายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มาดูกันว่าการตลาดออนไลน์แบบ SEO นั้นมีประโยชน์อะไรให้บ้าง

ประโยชน์การตลาดออนไลน์แบบ SEO

การทำ SEO คือ กลยุทธ์การตลาดที่ดีสำหรับอีคอมเมิร์ซ การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาช่วยประชาสัมพันธ์แบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นำเสนอข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ แบบประหยัดต้นทุน แผน SEO ที่มีประสิทธิภาพทำให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดี แสดงผลการค้นหาในอันดับต้น ๆ ของ Google เพื่อให้สะดุดตา เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเป้าหมายคลิกเข้าเยี่ยมเว็บไซต์มาเลือกชมและสั่งซื้อสินค้าหรือบริการง่ายมากขึ้น

ปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหา บทความที่ดีเป็นช่องทางโฆษณาเพิ่มการรับรู้ในแบรนด์สินค้า โดยใช้คีย์เวิร์ดปรับเนื้อหาให้เหมาะสม ประโยชน์ของ SEO ช่วยให้บทความในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือบล็อกนั้นน่าอ่านมากขึ้น เนื้อหาควรเชื่อมโยงกับความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย วิธีนี้เป็นการโฆษณาที่เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมมากมายด้วยต้นทุนเพียงเล็กน้อย บทความที่มีคุณภาพไม่ได้เพิ่มอัตราการเข้าชมรวดเร็ว แต่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าโฆษณาแบบไวรัลที่สร้างความประทับใจในทันที

การรีมาร์เก็ตติ้งหรือติดตามลูกค้าเป้าหมายที่เคยเข้าเว็บไซต์เพื่อกระตุ้นให้กลับมาใช้งานซ้ำ โดยวิธีการแสดงโฆษณาแบบรูปภาพควบคู่กับการให้ส่วนลดและข้อเสนอพิเศษช่วยนำลูกค้าที่มีศักยภาพกลับเข้ามาชมหน้าสินค้าที่เคยเรียกดู พร้อมกับเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการเพิ่มตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ยิ่งมีการทำรีมาร์เก็ตติ้งมากเท่าไร จำนวนผู้ชมที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นและบ่อยขึ้นเท่านั้น

การใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นกลุ่มคำ โดยมีคีย์เวิร์ดหลักพร้อมคำขยายสร้างคำใหม่ที่มีเอกลักษณ์ ทำให้จำนวนคู่แข่งมีน้อยลง โดยปกติแล้วเว็บไซต์จัดทำโครงสร้างที่ดีต้องจัดหมวดหมู่ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดด้วย เช่น เสื้อผ้าผู้ชาย > สีน้ำเงิน > ราคาไม่แพง การลำดับโครงสร้างเพจจับคู่กับคีย์เวิร์ดแบบยาวถือเป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบเว็บไซต์ให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ยิ่งเข้าใจความต้องการของลูกค้า ก็ยิ่งช่วยให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดี มีแนวโน้มที่จะเพิ่มยอดขายมากขึ้นด้วย

การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในระยะยาว โดยจะต้องคัดสรรเนื้อหาที่มีคุณภาพ พร้อมกับปรับให้เหมาะสม สำหรับ SEO ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาในเว็บไซต์ต่อเนื่อง ลูกค้าจะเข้ามาใช้บริการและส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซให้อยู่ในหน้าแรกของเครื่องมือค้นหาต่อไป วัดผลกันด้วยยอดขายสินค้าหรือบริการและกิจการที่เติบโตอย่างไม่หยุด

ด้วยวิธีของ SEO และ Search Engine นี้ จึงเป็นตัวช่วยอย่างดีสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทั้งการลดต้นทุนค่าประชาสัมพันธ์ เพิ่มยอดขาย และสร้างฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น

ประโยชน์ของ SEO ดันธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้เติบโต