คลังเก็บป้ายกำกับ: การทำ SEO

ข้อเสียของการทำ SEO และควรต้องระวัง

แม้ว่า SEO (Search Engine Optimization) เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณ แต่ก็มีข้อเสียบางประการ

ความมุ่งมั่นด้านเวลา: SEO คือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น ต้องใช้เวลาในการพัฒนาและนำกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพไปใช้ และใช้เวลานานกว่านั้นจึงจะเห็นผล

ผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน: ไม่มีการรับประกันว่าการทำ SEO ของคุณจะได้ผล อัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และการแข่งขันอาจรุนแรง

การลงทุนด้านทรัพยากร: การทำ SEO ได้ดีอาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก คุณอาจต้องลงทุนในสิ่งต่างๆ เช่น เครื่องมือวิจัยคำหลัก การสร้างเนื้อหา และแม้แต่การจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO

การเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม: เครื่องมือค้นหาอัปเดตอัลกอริทึมบ่อยครั้ง และสิ่งที่ได้ผลในวันนี้อาจไม่ได้ผลในวันพรุ่งนี้ คุณต้องปรับตัวและติดตามเทรนด์ SEO ล่าสุดอยู่เสมอ

บทลงโทษที่อาจเกิดขึ้น: การมีส่วนร่วมในกลยุทธ์ SEO หมวกดำ (เช่น การใช้คำหลักในทางที่ผิด) อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกลงโทษโดยเครื่องมือค้นหา ซึ่งส่งผลเสียต่ออันดับของคุณ

เครื่องมือทำ SEO คืออะไร มีประโยชน์อะไรกับเราบ้าง

เครื่องมือ SEO (Search Engine Optimization) คือโปรแกรมซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเจ้าของเว็บไซต์ นักการตลาด และผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์และการจัดอันดับในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) เครื่องมือเหล่านี้มีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายเพื่อวิเคราะห์ เพิ่มประสิทธิภาพ และติดตามแง่มุมต่างๆ ของประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในโปรแกรมค้นหา มีประโยชน์ดังนี้

1.การวิจัยคำหลัก เครื่องมือ SEO ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคำหลักและวลีที่เกี่ยวข้องที่ผู้ใช้กำลังค้นหา ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ระบุคำหลักที่มีการเข้าชมสูงเพื่อกำหนดเป้าหมายในเนื้อหาของตน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะมีการจัดอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหา

2.การเพิ่มประสิทธิภาพบนเพจ เครื่องมือเหล่านี้วิเคราะห์หน้าเว็บแต่ละหน้าและให้คำแนะนำในการเพิ่มประสิทธิภาพองค์ประกอบต่างๆ เช่น เมตาแท็ก ส่วนหัว เนื้อหา รูปภาพ และโครงสร้าง URL เพื่อให้เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหามากขึ้น

3.การวิเคราะห์คู่แข่ง เครื่องมือ SEO ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์กลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง รวมถึงการใช้คำหลัก โปรไฟล์ลิงก์ย้อนกลับ และกลยุทธ์เนื้อหา ข้อมูลนี้ช่วยในการระบุพื้นที่สำหรับการปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์ SEO ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

4.การสร้างลิงก์ เครื่องมือ SEO จำนวนมากให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโปรไฟล์ลิงก์ย้อนกลับ ช่วยให้ผู้ใช้ระบุโอกาสในการรับลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง การสร้างโปรไฟล์ลิงก์ย้อนกลับที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรับปรุงอำนาจของเว็บไซต์และการจัดอันดับในผลการค้นหา

5.การตรวจสอบเว็บไซต์ เครื่องมือ SEO ดำเนินการตรวจสอบเว็บไซต์อย่างครอบคลุมเพื่อระบุปัญหาทางเทคนิค เช่น ลิงก์เสีย เนื้อหาที่ซ้ำกัน และปัญหาความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา การแก้ไขปัญหาเหล่านี้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์และประสบการณ์ผู้ใช้ได้

6.การติดตามประสิทธิภาพ เครื่องมือเหล่านี้ติดตามการวัดผล SEO ที่สำคัญ เช่น การจัดอันดับคำหลัก การเข้าชมทั่วไป การเติบโตของลิงก์ย้อนกลับ และอัตรา Conversion เมื่อเวลาผ่านไป การตรวจสอบตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้ประเมินประสิทธิผลของการทำ SEO และตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

7.การเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา เครื่องมือ SEO ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเนื้อหาแต่ละส่วน เช่น โพสต์ในบล็อกและบทความ รวมถึงการเปิดเผยการค้นหา ตัวชี้วัดการมีส่วนร่วม และการแชร์บนโซเชียล ข้อมูลนี้ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาที่มีอยู่และสร้างเนื้อหาใหม่ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

8.SEO ท้องถิ่น สำหรับธุรกิจที่กำหนดเป้าหมายลูกค้าในท้องถิ่น เครื่องมือ SEO นำเสนอคุณสมบัติที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อปรับปรุงการมองเห็นในผลการค้นหาในท้องถิ่น เช่น การวิจัยคำหลักในท้องถิ่น การจัดการการอ้างอิง และการตรวจสอบบทวิจารณ์ออนไลน์

โดยรวมแล้ว เครื่องมือ SEO เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์สำหรับเครื่องมือค้นหา เพิ่มการเข้าชมที่เกิดขึ้นเอง และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจในท้ายที่สุด เช่น การสร้างโอกาสในการขายและการเติบโตของรายได้ โดยให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าและทำงานซ้ำๆ โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและความพยายามสำหรับเจ้าของเว็บไซต์และนักการตลาด

seo สำคัญต่อธุรกิจมากแค่ไหน

SEO มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจทุกขนาด โดยไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรม เป็นกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณเพื่อให้มีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงกว่าใน SERP ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ามีแนวโน้มที่จะมองเห็นได้มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้าชม โอกาสในการขาย และยอดขายที่มากขึ้น

ประโยชน์หลักของ SEO สำหรับธุรกิจ

1.การมองเห็นและการเข้าชมที่เพิ่มขึ้น SEO สามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่สูงขึ้นใน SERP สำหรับคำหลักที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น นี่เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากคนส่วนใหญ่คลิกเฉพาะผลลัพธ์อันดับต้นๆ ของ SERP เท่านั้น

2.การรับรู้ถึงแบรนด์ที่ได้รับการปรับปรุง เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่สูงขึ้นใน SERP ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ามีแนวโน้มที่จะมองเห็นได้มากขึ้น วิธีนี้สามารถช่วยเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์และทำให้ธุรกิจของคุณน่าจดจำยิ่งขึ้น

3.โอกาสในการขายและการขายที่เพิ่มขึ้น การเข้าชมเว็บไซต์ของคุณที่มากขึ้นสามารถนำไปสู่โอกาสในการขายและการขายได้มากขึ้น เนื่องจาก SEO สามารถช่วยคุณดึงดูดผู้เยี่ยมชมที่สนใจสิ่งที่คุณนำเสนออยู่แล้ว

4.ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น SEO สามารถช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้เว็บไซต์ของคุณโดยทำให้ผู้เยี่ยมชมค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การมีส่วนร่วมและอัตรา Conversion ที่เพิ่มขึ้น

5.ผลลัพธ์ระยะยาว SEO เป็นการลงทุนระยะยาว แต่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เมื่อคุณปรับเว็บไซต์ให้เหมาะสมสำหรับ SEO แล้ว คุณจะยังคงเห็นผลลัพธ์ต่อไปได้แม้ว่าคุณจะหยุดลงทุนในการทำ SEO ก็ตาม

6.ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน SEO มีความสำคัญมากกว่าที่เคยสำหรับธุรกิจ ด้วยการลงทุนใน SEO คุณสามารถปรับปรุงการมองเห็น ปริมาณข้อมูล โอกาสในการขาย การขาย และประสบการณ์ผู้ใช้ของคุณได้ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวสำหรับธุรกิจของคุณ

เคล็ดลับในการปรับปรุง SEO ของคุณมีดังนี้

1.เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับคำหลักที่เกี่ยวข้อง เลือกคำหลักที่เหมาะสมเพื่อกำหนดเป้าหมายและเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาเว็บไซต์และโค้ดสำหรับคำหลักเหล่านั้น

2.สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง สร้างเนื้อหาที่ให้ข้อมูล มีส่วนร่วม และมีความเกี่ยวข้องซึ่งจะทำให้ผู้เยี่ยมชมกลับมาดูอีก

3.สร้างลิงก์ย้อนกลับ ลิงก์ย้อนกลับคือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นไปยังเว็บไซต์ของคุณเอง ยิ่งคุณมีลิงก์ย้อนกลับมากเท่าไร เว็บไซต์ของคุณก็จะอยู่ในอันดับ SERP ที่สูงขึ้นเท่านั้น

4.โปรโมตเว็บไซต์ของคุณ แบ่งปันเนื้อหาของคุณบนโซเชียลมีเดีย ในจดหมายข่าวทางอีเมล และบนเว็บไซต์อื่น ๆ

5.ติดตามผลลัพธ์ของคุณ ติดตามการเข้าชมเว็บไซต์และการจัดอันดับของคุณเพื่อดูว่าสิ่งใดได้ผลและสิ่งใดไม่ได้ผล

SEO เป็นหัวข้อที่ซับซ้อน แต่ก็คุ้มค่าที่จะเรียนรู้หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จทางออนไลน์ มีแหล่งข้อมูลมากมายที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO และนำไปใช้บนเว็บไซต์ของคุณเอง

ข้อควรระวังในการใช้seo

SEO เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สามารถช่วยคุณปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์และอันดับในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) อย่างไรก็ตาม การใช้ SEO อย่างระมัดระวังและมีจริยธรรมเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

ข้อควรระวังของการใช้ SEO

1.หลีกเลี่ยง SEO หมวกดำ Black hat SEO หมายถึงแนวทางปฏิบัติ SEO ที่ผิดจรรยาบรรณหรือสแปมซึ่งออกแบบมาเพื่อหลอกเครื่องมือค้นหาให้จัดอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้น กลยุทธ์ SEO หมวกดำอาจรวมถึงการใส่คำหลักในทางที่ผิด สแปมลิงก์ และการปิดบังหน้าเว็บจริง Black hat SEO นั้นขัดต่อข้อกำหนดในการให้บริการของเสิร์ชเอ็นจิ้นส่วนใหญ่ และอาจส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณถูกลงโทษหรือแบนจาก SERP

2.โปรดใช้ความระมัดระวังในการใช้เครื่องมือ SEO อัตโนมัติ เครื่องมือ SEO อัตโนมัติมีประโยชน์สำหรับงานต่างๆ เช่น การวิจัยคำหลักและการสร้างลิงก์ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังในการใช้เครื่องมือเหล่านี้ เนื่องจากบางครั้งเครื่องมือเหล่านี้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือมีประสิทธิภาพได้

3.ตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องติดตามอันดับเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกลงโทษจากเครื่องมือค้นหา คุณสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Search Console เพื่อติดตามอันดับเว็บไซต์ของคุณและระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้

4.ทำงานร่วมกับเอเจนซี่ SEO ที่มีชื่อเสียง หากคุณไม่แน่ใจว่าจะทำ SEO ด้วยตัวเองได้อย่างไร คุณสามารถพิจารณาร่วมงานกับเอเจนซี่ SEO ที่มีชื่อเสียงได้ เอเจนซี่ SEO ที่ดีจะสามารถช่วยคุณพัฒนาและใช้กลยุทธ์ SEO ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพได้

เคล็ดลับเพิ่มเติมการใช้ SEO อย่างปลอดภัยและมีจริยธรรม

1.มุ่งเน้นที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง วิธีที่ดีที่สุดในการปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณใน SERP คือการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เมื่อสร้างเนื้อหา ให้มุ่งเน้นที่การให้คุณค่าแก่ผู้อ่านของคุณและช่วยพวกเขาแก้ปัญหา

2.ใช้เทคนิค SEO หมวกขาว White Hat SEO หมายถึงแนวทางปฏิบัติ SEO ที่มีจริยธรรมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งออกแบบมาเพื่อปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณอย่างเป็นธรรมชาติ เทคนิค SEO หมวกขาวประกอบด้วยการวิจัยคำหลัก การเพิ่มประสิทธิภาพในหน้า และการสร้างลิงก์

3.อดทน SEO เป็นการลงทุนระยะยาว อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีจึงจะเห็นผล อย่างไรก็ตาม หากคุณมีความสม่ำเสมอในความพยายามของคุณ ในที่สุดคุณควรเห็นการปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณในที่สุด

โดยการปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้ คุณสามารถช่วยให้แน่ใจว่าคุณใช้ SEO อย่างปลอดภัยและมีจริยธรรม

seo ที่ทุกคนต้องรู้จัก

SEO มีหลายแง่มุมที่ทุกคนควรรู้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดมีดังนี้

1.การวิจัยคำหลัก นี่คือกระบวนการค้นหาคำหลักที่เหมาะสมเพื่อกำหนดเป้าหมายสำหรับเว็บไซต์ของคุณ เมื่อคุณทำการวิจัยคำหลัก คุณต้องการค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ มีปริมาณการค้นหาสูง และไม่มีการแข่งขันมากเกินไป

2.การเพิ่มประสิทธิภาพบนหน้า นี่คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บไซต์ของคุณสำหรับคำหลักที่คุณได้กำหนดเป้าหมายไว้ ซึ่งรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น การใช้คำหลักที่ถูกต้องในแท็กชื่อ คำอธิบายเมตา และตลอดเนื้อหาของคุณ

3.การเพิ่มประสิทธิภาพนอกหน้า นี่คือกระบวนการสร้างลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณจากเว็บไซต์อื่น ลิงก์มีความสำคัญสำหรับ SEO เนื่องจากช่วยให้ Google พิจารณาอำนาจของเว็บไซต์ของคุณได้

4.เทคนิค SEO นี่คือกระบวนการในการรับรองว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือทางเทคนิคจากมุมมองของ SEO ซึ่งรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น การทำให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ มีความเร็วในการโหลดที่รวดเร็ว และปลอดภัย

5.การตลาดเนื้อหา นี่คือกระบวนการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาคุณภาพสูงที่ดึงดูดและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายของคุณ การตลาดเนื้อหาเป็นวิธีที่ดีในการปรับปรุง SEO ของคุณ เนื่องจากช่วยให้คุณสร้างลิงก์ ปรับปรุงสิทธิ์ของเว็บไซต์ และดึงดูดปริมาณการเข้าชมทั่วไป

นี่เป็นเพียงส่วนที่สำคัญที่สุดของ SEO ที่ทุกคนควรรู้ หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO มีแหล่งข้อมูลมากมายทางออนไลน์และในห้องสมุด

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับ SEO ที่ทุกคนควรรู้มีดังนี้

-อดทน SEO เป็นกระบวนการระยะยาว ต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะเห็นผลลัพธ์จากการทำ SEO อย่าท้อแท้ถ้าคุณไม่เห็นผลในชั่วข้ามคืน

-ติดตามการเปลี่ยนแปลง Google อัปเดตอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการติดตามการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหมายถึงการอ่านบล็อกและบทความ SEO และการเข้าร่วมการประชุม SEO

-ใช้เทคนิค SEO ที่หลากหลาย การทำ SEO ไม่มีวิธีใดที่เหมาะกับทุกคน คุณต้องใช้เทคนิคที่หลากหลายจึงจะประสบความสำเร็จ

-ติดตามผลลัพธ์ของคุณ การติดตามผลลัพธ์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้คุณเห็นว่าสิ่งใดได้ผลและสิ่งใดไม่ได้ผล สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ของคุณ

เมื่อปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณและดึงดูดการเข้าชมที่เกิดขึ้นเองได้มากขึ้น

นี่คือเคล็ดลับ SEO สำหรับนักลงทุน

SEO หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้มีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) นี่อาจเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณและดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น

เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับคำหลักที่เกี่ยวข้อง เวลาคนค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน เขาใช้คีย์เวิร์ดอะไร? ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ใส่คำหลักเหล่านี้ในแท็กชื่อเว็บไซต์ คำอธิบายเมตา และทั่วทั้งเนื้อหาของคุณ

-สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง เนื้อหาของคุณควรให้ข้อมูล มีส่วนร่วม และเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ นอกจากนี้ยังควรเป็นลายลักษณ์อักษรที่ดีและปราศจากข้อผิดพลาด

-สร้างลิงก์ย้อนกลับ ลิงก์ย้อนกลับคือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ ยิ่งคุณมีลิงก์ย้อนกลับมากเท่าไหร่ เว็บไซต์ของคุณก็จะยิ่งมีอันดับใน SERP มากขึ้นเท่านั้น คุณสามารถสร้างลิงก์ย้อนกลับโดยการบล็อกของผู้เยี่ยมชม เข้าร่วมในโซเชียลมีเดีย และส่งเว็บไซต์ของคุณไปยังไดเร็กทอรี

-ใช้โซเชียลมีเดีย โซเชียลมีเดียเป็นวิธีที่ดีในการติดต่อกับนักลงทุนที่มีศักยภาพและแบ่งปันเนื้อหาของคุณ อย่าลืมโพสต์เป็นประจำบนโซเชียลมีเดียและมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามของคุณ

-เรียกใช้แคมเปญโฆษณาแบบชำระเงิน การโฆษณาที่เสียค่าใช้จ่ายอาจเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏต่อนักลงทุนที่มีศักยภาพมากขึ้น คุณสามารถเรียกใช้แคมเปญ Google Ads, แคมเปญโฆษณา Facebook หรือแคมเปญโฆษณาแบบชำระเงินประเภทอื่นๆ

เมื่อทำตามคำแนะนำเหล่านี้ คุณจะปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์และดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น

1.กำหนดเป้าหมายคำหลักหางยาว คำหลักหางยาวคือคำหลักที่มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าและมีการแข่งขันน้อยกว่า ซึ่งหมายความว่าคุณจะจัดอันดับคำหลักเหล่านี้ใน SERP ได้ง่ายขึ้น

2.ใช้เครื่องมือวิจัยคำหลัก มีเครื่องมือวิจัยคำหลักจำนวนหนึ่งที่สามารถช่วยคุณระบุคำหลักที่เหมาะสมเพื่อกำหนดเป้าหมายได้ เครื่องมือวิจัยคำหลักที่เป็นที่นิยม ได้แก่ เครื่องมือวางแผนคำหลักของ Google, SEMrush และ Ahrefs

3.ปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ทันสมัยอยู่เสมอ Google ชอบเนื้อหาที่สดใหม่ ดังนั้นโปรดอัปเดตเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำด้วยบล็อกโพสต์ บทความ และเนื้อหาใหม่ๆ

4.เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับอุปกรณ์มือถือ ผู้คนจำนวนมากขึ้นใช้อุปกรณ์พกพาเพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับให้เหมาะกับมือถือ

ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมตเว็บไซต์ของคุณ แบ่งปันเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณบนโซเชียลมีเดียและกระตุ้นให้ผู้ติดตามของคุณแบ่งปันเช่นกัน

รวม Search Engine น่าสนใจที่คนทำ SEO ต้องรู้ ถ้าอยากโกอินเตอร์

หากพูดถึง Search Engine เชื่อว่าชื่อแรกที่คนไทยส่วนใหญ่นึกถึง Google (https://www.google.com/) สมกับที่หลายคนชอบพูดเล่น ๆ ว่าอยากรู้อะไรให้ถาม Google ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกผลสำรวจพบว่าคนไทยใช้งาน Google สูงถึง 98.61% ทิ้งห่าง Search Engine อื่น ๆ แบบไม่เห็นฝุ่น ในขณะที่ค่าเฉลี่ยการใช้งานทั่วโลกกว่า 92.48% มีตัวเลขใช้งาน 40,000 คนต่อวินาที อย่างไรก็ตามในความจริงแล้วนอกจาก Google ยังมีอีกหลาย Search Engine ที่น่าสนใจและท้าทายของนักการตลาดในการทำ SEO (Search Engine Optimize) เพื่อกระตุ้นเว็บไซต์ในระดับอินเตอร์ แต่จะมีเว็บไซต์นอกจาก Google อีกบ้างนั้น มาดูกันเลย

  • Bing 

เมื่อดูจากสถิติการใช้งานทั่วโลกต้องยอมรับว่า Bing ของ Microsoft เป็นคู่แข่งสำคัญของ Google เพราะ แม้ว่าเปอร์เซ็นต์การใช้งานจะทิ้งห่างจากอยู่หลายเท่าตัว ด้วยค่าเฉลี่ยการใช้งานทั่วโลกประมาณ 3.08% แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็น Search Engine ที่มีการใช้งานเป็นอันดับ 2 ในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน อินเดีย รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นหาก Bing แก้ไขข้อเสียเรื่องการจัดอันดับไซต์ฟอรั่มและการใช้งานก็อาจตีตื้นแย่งเปอร์เซ็นต์การใช้งานจาก Google ได้

  • Yahoo 

อีกหนึ่ง Search Engine เก่าแก่ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1994 โดยมีการใช้งานรองจาก Google และ Bing ด้วยค่าเฉลี่ยการใช้งานทั่วโลกประมาณ 1.05% แต่ถ้าพุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้ใช้งานในประเทศญี่ปุ่นบอกเลยว่าไม่ควรมองข้าม  Yahoo เพราะมีการใช้งานสูงถึง 16.22% เป็นรองแค่ Google เท่านั้น

  • Baidu 

ประโยคที่บอกว่า Google คือ Search Engine อันดับหนึ่งคงพูดไม่ได้ในประเทศจีน เพราะประเทศนี้อันดับหนึ่งคือ Baidu  ด้วยค่าเฉลี่ยการใช้งานกว่า 73.86% ส่วน  Google อยู่อันดับ 4 เป็นรองทั้ง Bing และ Sogou ซึ่งเหตุผลเนื่องจาก Baidu จัดอันดับโดยเน้นเฉพาะเว็บไซต์ของจีน ในขณะที่ Google ใช้มาตรฐานการจัดระบบในจีนแบบเดียวกับที่ใช้ทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นเรื่องของนโยบายภายในประเทศที่มีการควบคุมเนื้อหาและสนับสนุนบริษัทในประเทศ จึงทำให้ Baidu ได้รับความนิยมมากกว่า 

  • Naver

ถ้าที่ประเทศจีนมี Baidu ที่ประเทศเกาหลีใต้ก็มี Search Engine ของตัวเองที่มีชื่อว่า Naver ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1999 โดยกลุ่มบริษัท NHN Corporation ผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นชื่อดังอย่าง Line แม้ว่าจะยังไม่สามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง Search Engine ในประเทศต้นกำเนิดได้ เพราะยังมีค่าเฉลี่ยการใช้งานประมาณ 23.01% ตามหลัง Google อยู่เกือบ 50% แต่ด้วยประสิทธิการใช้งานที่ครอบคลุมทุกเรื่องในเกาหลี ทั้งความบันเทิง ข่าว หุ้น อสังหาริมทรัพย์ แผนที่ แฟชั่นไปจนถึงความหมายของคำศัพท์เกาหลีในภาษาต่าง ๆ มั่นใจได้ว่า Naver เป็น  Search Engine ที่น่าจับตามอง

เป็นอย่างไรบ้างสำหรับข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ Search Engine ทั่วโลกที่นำมาฝาก ซึ่งถึงแม้ว่าหลาย ๆ เว็บไซต์จะมียอดการใช้งานน้อยกว่า Google และมีการใช้งานเฉพาะประเทศต้นกำเนิด แต่ถ้าต้องการทำ SEO ให้ปังในต่างประเทศ การเรียนรู้เงื่อนไขของแต่ละเว็บไซต์ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างแน่นอน 

5 เรื่องที่ควรรู้ถ้าอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO

อีกหนึ่งสายอาชีพที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดตอนนี้คือ “ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า “SEO Specialist” โดยเป็นอาชีพที่ทำหน้าที่ในการพัฒนาศักยภาพเว็บไซต์เพื่อใช้ในการทำการตลาดทางออนไลน์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและเพิ่มผลกำไรให้กับบริษัท คนที่สนใจจะทำอาชีพนี้จำเป็นจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญหลายด้านอย่างที่เรากำลังจะมาทำการเปิดเผยให้ดูในวันนี้

  1. การจัดการโครงสร้างเว็บไซต์

การจัดการระบบหลังบ้านของเว็บไซต์ให้เรียบร้อยจะทำให้การจัดการข้อมูลและการเชื่อมโยง ลำดับเนื้อหาต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ต้องสามารถเลือกรูปแบบโครงสร้างเว็บที่เหมาะสมกับสิ่งที่องค์กรต้องการนำเสนอ รวมทั้งทำให้การเข้าไปแก้ไขหรือพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ของเว็บไซต์ทำได้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์อย่างตรงจุด 

  1. การทำการตลาดผ่านคอนเทนต์

การทำ SEO คือการสร้างคอนเทนต์เพื่อเผยแพร่บนเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับอัลกอริทึมของ Google เพื่อให้เว็บไซต์ธุรกิจแสดงผลบนหน้าการค้นหาของกลุ่มลูกค้า ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO ต้องรู้ว่าควรสร้างเนื้อหาแนวไหนเหมาะสมกับแบรนด์ที่ต้องการโฆษณา ตามเทรนด์คอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้ทัน รวมทั้งต้องจัดอันดับ และตัดสินใจเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับแบรนด์มากที่สุด

  1. การพัฒนาเว็บไซต์ทางเทคนิค

เนื่องจากการดูแลเว็บไซต์ธุรกิจทางออนไลน์จะต้องมีการทำงานโดยอาศัยความรู้ทางเทคนิคคอมพิวเตอร์หลายอย่างตลอดเวลา เช่น การดูแลความปลอดภัยเว็บไซต์ด้วย SSL การดูแลเรื่องการใช้ Plugin ที่จำเป็น ดูแลเรื่องบริการ Web Hosting ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยทำให้ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ดีขึ้นกว่าเดิม

  1. การหาพาร์ตเนอร์บนเว็บไซต์

การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จต้องมีการทำ Off-page SEO เพื่อให้มีการสร้างลิงก์จากภายนอกกลับมาสู่เว็บไซต์ธุรกิจ ยิ่งมีการเชื่อมโยงคุณภาพดีปริมาณมาก จะยิ่งทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จ แถมยังเป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยมในการทำให้จำนวนและกลุ่มผู้ติดตามกว้างขวางขึ้น คนที่ดูแลเรื่อง SEO จึงจำเป็นต้องมีเครือข่ายที่ดีเพื่อให้การทำ SEO มีคุณภาพ

  1. การประเมินคุณภาพ SEO

การทำ SEO ต้องมีการทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์และจัดทำรายงานเพื่อประเมินว่าการทำ SEO ประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหนให้ผู้ประกอบการดู และทำการวิเคราะห์ว่ามีจุดไหนที่ควรได้รับการปรับปรุง สามารถเปรียบเทียบข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมมาเพื่อทำการวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต โดยมีจุดมุ่งหมายหลักให้ SEO สามารถบรรลุเป้าหมายอย่างสมบูรณ์

ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ที่ช่วยส่งเสริมการตลาดทางออนไลน์บนเว็บไซต์ธุรกิจได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทต่าง ๆ ไม่สามารถขาดตำแหน่งนี้ไปได้เลยในยุคปัจจุบัน สำหรับใครที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีและอยากทำงานด้าน SEO สามารถหาข้อมูลหรือความรู้เพิ่มเติมตามแนวทางที่เราได้แนะนำไว้ในบทความนี้ได้เลย ไม่แน่ว่า SEO Specialist อาจเป็นอาชีพในฝันที่คุณมองหาอยู่ก็ได้

5 เรื่องควรระวังที่คนทำคอนเทนต์ SEO ต้องเรียนรู้

คอนเทนต์ SEO มีความสำคัญมากในการทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน เพราะการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพจะทำให้เว็บไซต์ของบริษัทมีโอกาสติดอันดับต้น ๆ ในการค้นหาของผู้ใช้งาน จึงเป็นการสร้างโอกาสให้สามารถทำกำไรได้จากช่องทางนี้ แน่นอนว่ายิ่งให้ผลลัพธ์ที่ดี ยิ่งมีผู้สนใจและดันจำนวนคู่แข่งเรื่อง SEO ให้มากขึ้นไปอีก ผู้สร้างคอนเทนต์จึงต้องหมั่นพัฒนาเนื้อหาให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการพิจารณาข้อควรระวังทั้ง 5 ข้อต่อไปนี้

  1. อย่าคัดลอกเนื้อหาจากเว็บอื่น ๆ

คอนเทนต์มีส่วนที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกับเนื้อหาจากแหล่งอื่น ๆ มากเกินไปสามารถจับได้ง่าย ๆ ด้วยอัลกอริทึมในการวิเคราะห์ประโยคของ Google ในปัจจุบัน ทำให้การก๊อปปี้เนื้อหาจากแหล่งอื่นมาเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากและอาจทำให้เว็บไซต์ธุรกิจโดนแบนได้เลยทีเดียว จึงเป็นเรื่องที่ต้องหมั่นตรวจสอบและเน้นย้ำผู้สร้างคอนเทนต์อยู่เสมอ

  1. มีคีย์เวิร์ดมากไปแบบไม่สมเหตุสมผล

การมีคีย์เวิร์ดคุณภาพในบทความมากเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมว่าต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติของเนื้อหา และต้องพยายามสร้างคอนเทนต์ให้เกิดความน่าประทับใจสำหรับผู้ใช้งานได้จริง ๆ เพราะการยัดคำเข้าไปเยอะ ๆ อาจจะมีผลดีให้ติดอันดับเสิร์จได้ แต่ผู้ใช้งานจะไม่กดซ้ำเข้ามาอีกอย่างแน่นอน แถมถ้า Google จับได้ ยังมีโอกาสจะโดนลดอันดับได้อีกด้วย

  1. ทำแต่คอนเทนต์ตามกระแส

การทำคอนเทนต์ตามกระแสที่ร้อนแรงเป็นเรื่องดี แต่การทำคอนเทนต์ตามกระแสเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เว็บไซต์มีการเติบโตได้อย่างมั่นคง เพราะจะได้  Traffic แค่ช่วงสั้น ๆ แล้วเงียบไป ดังนั้นต้องทำคอนเทนต์ที่มีความยั่งยืนควบคู่ไปด้วยอย่างสม่ำเสมอ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการอย่างยั่งยืน

  1. ไม่ค่อยใส่ใจภาพประกอบ

ภาพและอินโฟกราฟิกที่ดีจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี ดังนั้นภาพที่นำมาใส่ต้องสวยงามและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา สื่อสารได้ชัดเจน ขนาดไม่เกิน 100 KB เพราะจะทำให้สามารถโหลดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ยิ่งถ้าเป็นภาพต้นฉบับได้จะยิ่งดึงดูดใจให้คนสนใจมากขึ้นไปอีก

  1. ไม่มีพาร์ทเนอร์ในการทำ Backlink

การทำ Backlink เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยดันผลลัพธ์การค้นหาให้สูงขึ้นได้ ดังนั้นต้องลองหาพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่สามารถสร้าง Backlink คุณภาพกลับมาที่เว็บไซต์ให้กันและกัน สิ่งนี้จะช่วยสร้างผลประโยชน์ทางบวกอย่างแน่นอน

ทั้ง 5 ข้อควรระวังเหล่านี้ ถ้าสามารถจัดการดูแลได้อย่างดีในขั้นตอนของการทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้อย่างใจ ยิ่งถ้าควบคู่มากกับสินค้าและบริการที่ยอดเยี่ยม จะสามารถจับใจของลูกค้าและครองตลาดได้อย่างมั่นคง ดังนั้นใครที่กำลังทำคอนเทนต์ SEO อย่าลืมพิจารณาทั้ง 5 ข้อนี้ไว้ให้ดีและนำไปปรับใช้ได้ตามสถานการณ์ของตนเองได้เลย

รวมข้อควรรู้เกี่ยวกับ URLs ที่ส่งผลดีต่อการทำ SEO

ทุกปัจจัยเล็ก ๆ บนเว็บไซต์ส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่ง URLs ที่เป็นดั่งที่อยู่ของหน้าเว็บไซต์นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยนั้น เพราะการออกแบบโครงสร้างและลักษณะของ URLs ให้มีประสิทธิภาพ จะส่งผลลัพธ์ในแง่บวกในกระบวนการของการทำ SEO และยังช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ ทำให้มีโอกาสสร้างรายได้จากการทำการตลาดออนไลน์อีกด้วย ดังนั้นเว็บไซต์ไหนที่ยังไม่มีการจัดการเรื่อง URLs อย่างจริงจัง ต้องห้ามปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป ลองไปเรียนรู้ด้วยกันว่าเรื่องที่ต้องเข้าใจเกี่ยวกับ URLs มีอะไรบ้าง

  1. ลักษณะ URLs ที่ดีเป็นยังไง

URLs ที่ถูกใจทั้งผู้อ่านและถูกใจอัลกอริทึมของ Google ต้องมีลักษณะที่ค่อนข้างสั้นและตรงประเด็น ควรประกอบไปด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา สามารถมอง URLs แล้วเดาได้ว่าหน้าเพจนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอะไร ดังนั้นไม่ควรประกอบไปด้วยตัวเลขหรือตัวอักษรที่ไม่มีความหมาย นอกจากนั้นคำบางอย่างที่ไม่จำเป็น เช่น a an for so but สามารถตัดออกได้ โดยเชื่อมคำต่าง ๆ บน URLs ด้วย – (Hyphens) จะอ่านง่ายและสะดวกต่อผู้ใช้งานมากที่สุด

  1. ทำให้ได้อันดับดีบน Google

ถ้าสามารถสร้าง URLs ให้มีลักษณะที่ดีตามที่แนะนำในหัวข้อก่อนหน้านี้ได้ จะทำให้ได้รับคะแนนสูงจากผู้ตรวจของ Google ที่เป็น AI หลากหลายตัว ที่ทำหน้าที่ในการเช็คเว็บไซต์ต่าง ๆ ว่ามีลักษณะดีในแบบที่ Google ต้องการหรือไม่ จะเห็นว่า URLs ที่ดีจะต้องสามารถอ่านได้โดยคนทั่วไปและยังต้องมีลักษณะตามที่ AI ต้องการอีกด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่จะได้คือลำดับเว็บไซต์ที่สูงขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้ที่กำลังค้นหาข้อมูลใน Google นั่นเอง

  1. แชร์ง่าย ส่งต่อได้บนโซเชียล

URLs ที่อ่านง่ายและกระชับจะสามารถนำไปแชร์ต่อบนช่องทางต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะดูน่าเชื่อถือ ไม่เหมือนลิงก์สแปม ทำให้ช่วยสร้างความมั่นใจในสายตาของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างโอกาสที่เว็บไซต์จะได้รับการจดจำจากผู้ใช้งาน เมื่อเกิด Backlink ที่มีประสิทธิภาพมาสู่หน้าเว็บไซต์ จะช่วยดันอันดับของ SEO ให้สูงขึ้นได้อย่างมั่นคง ข้อควรระวังคือ URLs ที่เป็นภาษาไทย เมื่อถูก copy เพื่อนำไปแชร์ต่อ จะกลายเป็นภาษาต่างดาว ดังนั้นแนะนำให้ใช้ URLs ภาษาอังกฤษจะสะดวกสบายกว่าในการส่งต่อ

  1. อย่าใช้ URLs ที่มีการระบุวันที่

บางครั้งเมื่อให้ซอฟแวร์สร้าง URLs ให้อัตโนมัติ จะมีการใส่วันที่สร้างหน้าเพจบน URLs ซึ่งสิ่งนี้อาจจะดูสะดวกสบายในสายตาผู้สร้าง แต่ไม่ส่งผลดีต่อ SEO เลย เพราะเป็นการระบุเจาะจงวันที่ลงไป จึงทำให้ผู้ใช้งานอาจจะคิดว่าเนื้อหานี้ไม่อัพเดทแล้วเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ดังนั้นอย่าระบุวันที่ลงบน URLs จะทำให้เนื้อหาดูสดใหม่ แถมเมื่อเข้าไปทำการแก้ไขเนื้อหาอีกครั้ง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปแก้ไขเพื่อเชื่อมอันเก่ามาสู่อันใหม่อีกด้วย

ทั้งหมดนี้คือข้อควรรู้ของการสร้าง URLs เพื่อส่งเสริมการทำ SEO บนเว็บไซต์ จะเห็นว่าการแก้ไขจุดต่าง ๆ ของ URLs ให้ถูกใจอัลกอริทึมของ Google ไม่ใช่สิ่งที่ยากหรือซับซ้อนเกินจะทำความเข้าใจ ดังนั้นเสียเวลาเพิ่มอีกสักนิด ใส่ใจกับจุดเล็ก ๆ เหล่านี้มากขึ้น จะทำให้การทำ SEO สามารถประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจแน่นอน