คลังเก็บหมวดหมู่: ความรู้ SEO

5 เรื่องที่ควรรู้ถ้าอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO

อีกหนึ่งสายอาชีพที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดตอนนี้คือ “ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า “SEO Specialist” โดยเป็นอาชีพที่ทำหน้าที่ในการพัฒนาศักยภาพเว็บไซต์เพื่อใช้ในการทำการตลาดทางออนไลน์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและเพิ่มผลกำไรให้กับบริษัท คนที่สนใจจะทำอาชีพนี้จำเป็นจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญหลายด้านอย่างที่เรากำลังจะมาทำการเปิดเผยให้ดูในวันนี้

  1. การจัดการโครงสร้างเว็บไซต์

การจัดการระบบหลังบ้านของเว็บไซต์ให้เรียบร้อยจะทำให้การจัดการข้อมูลและการเชื่อมโยง ลำดับเนื้อหาต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ต้องสามารถเลือกรูปแบบโครงสร้างเว็บที่เหมาะสมกับสิ่งที่องค์กรต้องการนำเสนอ รวมทั้งทำให้การเข้าไปแก้ไขหรือพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ของเว็บไซต์ทำได้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์อย่างตรงจุด 

  1. การทำการตลาดผ่านคอนเทนต์

การทำ SEO คือการสร้างคอนเทนต์เพื่อเผยแพร่บนเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับอัลกอริทึมของ Google เพื่อให้เว็บไซต์ธุรกิจแสดงผลบนหน้าการค้นหาของกลุ่มลูกค้า ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO ต้องรู้ว่าควรสร้างเนื้อหาแนวไหนเหมาะสมกับแบรนด์ที่ต้องการโฆษณา ตามเทรนด์คอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้ทัน รวมทั้งต้องจัดอันดับ และตัดสินใจเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับแบรนด์มากที่สุด

  1. การพัฒนาเว็บไซต์ทางเทคนิค

เนื่องจากการดูแลเว็บไซต์ธุรกิจทางออนไลน์จะต้องมีการทำงานโดยอาศัยความรู้ทางเทคนิคคอมพิวเตอร์หลายอย่างตลอดเวลา เช่น การดูแลความปลอดภัยเว็บไซต์ด้วย SSL การดูแลเรื่องการใช้ Plugin ที่จำเป็น ดูแลเรื่องบริการ Web Hosting ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยทำให้ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ดีขึ้นกว่าเดิม

  1. การหาพาร์ตเนอร์บนเว็บไซต์

การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จต้องมีการทำ Off-page SEO เพื่อให้มีการสร้างลิงก์จากภายนอกกลับมาสู่เว็บไซต์ธุรกิจ ยิ่งมีการเชื่อมโยงคุณภาพดีปริมาณมาก จะยิ่งทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จ แถมยังเป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยมในการทำให้จำนวนและกลุ่มผู้ติดตามกว้างขวางขึ้น คนที่ดูแลเรื่อง SEO จึงจำเป็นต้องมีเครือข่ายที่ดีเพื่อให้การทำ SEO มีคุณภาพ

  1. การประเมินคุณภาพ SEO

การทำ SEO ต้องมีการทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์และจัดทำรายงานเพื่อประเมินว่าการทำ SEO ประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหนให้ผู้ประกอบการดู และทำการวิเคราะห์ว่ามีจุดไหนที่ควรได้รับการปรับปรุง สามารถเปรียบเทียบข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมมาเพื่อทำการวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต โดยมีจุดมุ่งหมายหลักให้ SEO สามารถบรรลุเป้าหมายอย่างสมบูรณ์

ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ที่ช่วยส่งเสริมการตลาดทางออนไลน์บนเว็บไซต์ธุรกิจได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทต่าง ๆ ไม่สามารถขาดตำแหน่งนี้ไปได้เลยในยุคปัจจุบัน สำหรับใครที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีและอยากทำงานด้าน SEO สามารถหาข้อมูลหรือความรู้เพิ่มเติมตามแนวทางที่เราได้แนะนำไว้ในบทความนี้ได้เลย ไม่แน่ว่า SEO Specialist อาจเป็นอาชีพในฝันที่คุณมองหาอยู่ก็ได้

ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ SEO ที่เจ้าของธุรกิจต้องร้องว้าว

เมื่อพูดถึง SEO หลาย ๆ คนก็คงพอจะเคยได้ยินมาบ้าง สำหรับเจ้าของธุรกิจแล้วหลายคนอาจคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ก็ยังอดมีคำถามไม่ได้ว่าทำไมจึงต้องให้ความสำคัญกับ SEO อย่างมาก โดยในวันนี้จะพาทุกคนไปพบกับคำตอบที่บอกได้เลยว่ามีประโยชน์กับเจ้าของแบรนด์ต่าง ๆ อย่างแน่นอน

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ SEO

กับคำถามที่ว่าทำไมต้องทำ SEO มีข้อดีอย่างบ้าง? ตอบได้เลยว่ามีข้อดีตรงที่ช่วยทำให้เว็บไซต์ไปติดอันดับในลำดับหน้าการค้นหาแรก ๆ รองจากเว็บไซต์ที่มีการซื้อโฆษณาที่มักจะเจอกันเป็นประจำในหน้าผลลัพธ์การค้นหาของเว็บไซต์ google โดยการที่เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ นั้นจะช่วยทำให้ปริมาณการคลิกเข้ามารับชมเว็บไซต์ เข้าสู่เว็บไซต์มีมาก เพิ่มโอกาสในการรับชมเนื้อหาข้อมูล รวมถึงได้เข้ามาทำความรู้จักกับสินค้า ผลิตภัณฑ์และบริการของทางแบรนด์มากขึ้น เป็นวิธีการที่จะช่วยให้สามารถแข่งขันกับเว็บไซต์อื่น ๆ ได้ในระยะยาว เพราะเป็นการจัดอันดับของทาง google ไม่ได้เกิดจากการซื้อโฆษณา ลองคิดตามดูว่าถ้าหากอันดับของเว็บไซต์อยู่ในหน้าการค้นหาหลัง ๆ ก็จะทำให้โอกาสในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์น้อยลงไปด้วย การเพิ่มยอดขายหรือยอดการใช้บริการก็จะเป็นเรื่องยาก

คำถามที่ว่าช่วงเวลาไหนที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นทำ SEO ที่สุด ตอบได้ไม่ยากเลย ก็คือปัจจุบัน เนื่องด้วยการทำ SEO ต้องอาศัยระยะเวลาในการทำพอสมควร เพราะไม่ใช่การซื้อโฆษณา ซึ่งบอกได้ยากว่าจะทำไปกี่เดือนแล้วจึงจะสามารถไต่อันดับขึ้นมาได้ การเริ่มต้นทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เมื่อเริ่มต้นทำแล้วก็ยังจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เพิ่มเติมโครงสร้าง องค์ประกอบอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงวิธีการจัดการต่าง ๆ ด้วย ยิ่งเริ่มต้นในการทำ SEO ได้เร็วมากเท่าไหร่ก็ถือว่าได้เปรียบคู่แข่งมากเท่านั้น

คำถามที่ว่าถ้าอยากทำ SEO แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญและขาดทักษะด้านโซเชียลมีเดีย ควรที่จะทำอย่างไรได้บ้าง คำตอบก็คือปรึกษาและขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านการออกแบบเว็บไซต์ การสร้างเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ การสร้างคอนเทนต์ การทำกราฟิกรูปภาพ เนื้อหา บทความที่มีคุณภาพที่สามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามารับชมเว็บไซต์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยถ้าหากทำออกมาได้ดีทุกองค์ประกอบ การเลื่อนอันดับของเว็บไซต์ให้กลายเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน

จัดเต็มคำตอบมาแบบเน้น ๆ เลยทีเดียว ทั้งความหมาย ประโยชน์ แนวทางในการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับและอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าหากว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่อยากทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพละก็สามารถนำข้อมูลข้างต้นไปปรับใช้ได้เลย

เหตุผลที่ SEO สำคัญกับธุรกิจออนไลน์

การทำธุรกิจออนไลน์บนเว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ย่อมต้องการให้มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมมาก ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก เพิ่มโอกาสในการทำยอดขาย โดยวิธีที่ช่วยให้ผู้คนค้นหาเว็บไซต์หรือสื่ออนไลน์ใดบ่อย ๆ คือการนำเทคนิค SEO มาใช้นั่นเอง

SEO คือ Search Engine Optimization เป็นการปรับแต่งเพื่อให้เว็บไซต์ หรือหน้าเว็บไซต์สามารถติดอันดับในการค้นหาด้วย Search Engine ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในระบบการค้นหานั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Google, Bing, Yahoo สำหรับประเทศไทย ส่วนมากจะใช้เว็บไซต์ Google.co.th ในการค้นหาเป็นหลัก

Search Engine คือโปรแกรมที่ช่วยในการค้นข้อมูลต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ต โดยผู้ใช้จะกรอกคำสำคัญ (Keyword) หรือคำที่สนใจในการค้นหา จากนั้น Search Engine จึงจะแสดงผลการค้นหาออกมาเป็นอันดับของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Keyword ที่ค้นหานั่น แสดงว่าการให้เว็บไซต์แสดงผลในอันดับต้น ๆ ของ Search Engine ได้ก็จะมีโอกาสที่ผู้คนจะคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์มากขึ้นตามไปด้วย เมื่อมีผู้เข้าชมเว็บไซต์มาก ย่อมทำให้เกิดประโยชน์ต่าง ๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการ การเพิ่มโอกาสขายโฆษณา เป็นต้น แต่หากเว็บไซต์ไม่ได้แสดงผลใน Search Engine ย่อมมีโอกาสที่เว็บไซต์นั้นจะมีสภาพเหมือนเว็บไซต์ร้างที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อธุรกิจเลย

SEO มีความสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์อย่างไร

การทำตลาดด้วย SEO หรือ SEO Marketing คือกระบวนการทำตลาดออนไลน์ที่โฟกัสด้วยการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ เพื่อสร้างโอกาสให้เว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ (ทั้งรูปภาพ หรือวิดีโอ) ได้ปรากฏเป็นลำดับต้น ๆ ในผลการค้นหาของ Search Engine ยิ่งเป็นอันดับแรก ๆ ก็ยิ่งดี ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

1. ปัจจุบันนี้ ผู้คนต่างใช้การเสิร์ช Google ค้นหาข้อมูลมากกว่าวันละ 3.5 พันล้านครั้ง หรือประมาณ 40,000 ครั้งต่อวินาที

กว่า 90% ของผู้บริโภคที่ใช้อินเทอร์เน็ต มักไม่ติดสินใจซื้อ หรือทำอะไรกับแบรนด์ที่สนใจ หากยังไม่ได้ลองเสิร์ชหาข้อมูลที่จำเป็นดูก่อน

2. การทำ SEO ที่ดีจะให้ผลลัพธ์ทางการตลาด (Conversion rate) สูงถึง 14.6% ซึ่งในขณะเดียวกันการตลาดแบบดั่งเดิมจะให้ผลลัพธ์นี้เพียง 1.7% เท่านั้น

อย่างในประเทศไทย Google คือช่องทางอันดับหนึ่งที่ผู้คนใช้ค้นหาสินค้า และบริการที่สนใจ หลายคนอาจรู้สึกว่าคิดอะไรไม่ออก ให้ลองบอกกูเกิ้ล รับรองว่าจะได้สิ่งที่ต้องการแน่นอน ดังนั้นเมื่อมีการค้นหาสินค้า หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าใด ๆ แล้วเว็บไซต์ของผู้ประกอบการสามารถปรากฏให้ผู้คนเห็นได้เป็นลำดับแรก ๆ ย่อมเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ หรือสร้าง Brand Awareness ได้เป็นอย่างดี SEO จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิขออนไลน์ เพราะช่วยเพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างมาก

ขั้นตอนการทำ SEO สำหรับมือใหม่

SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดงในหน้าแรก ของการค้นหาใน Search Engine อย่าง Google นั่นเอง เพราะเป็นเครื่องมือสำหรับหาข้อมูล หรือสินค้าที่ต้องการที่ผู้คนทั่วไปนิยมใช้กันมาก และ Search Engine ยังทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างเว็บไซต์ที่มีผู้คนเข้าใช้มาก ๆ อย่าง Pantip หรือ DEK-D อีกด้วย

ดังนั้นการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization จึงเป็นเทคนิคทางการตลาดแบบออนไลน์ที่ช่วยให้สินค้าหรือบริการของคุณได้แสดงในหน้าแรกของ Search Engine โดยการค้นหาจะใช้คำสำคัญที่เรียกว่า Keyword เป็นการแสดงเนื้อหาที่ดีและมีประโยชน์ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาจาก Google ADS อีกด้วย

ดังนั้นเทคนิคในการทำ SEO คือการหาข้อมูล (Information) มาใส่ในเว็บไซต์ให้ตรงกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหาอยู่ เพื่อให้หน้าเว็บของเราได้แสดงในอันดับต้น ๆ ของการค้นหา เนื้อหาภายในเว็บไซต์ต้องมีลักษณะที่ google ชอบ เป็นข้อมูล (information) ที่ตอบโจทย์ให้กับผู้ที่สนใจ เป็นข้อมูลที่เรียบเรียงมาเป็นอย่างดี อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย (accessible) และต้องเป็นประโยชน์ (useful) คือสามารถแก้ปัญหาหรือให้กับผู้ที่ต้องการหรือสนใจได้

ขั้นตอนการทำ SEO

การหา Keyword เพราะคีย์เวิร์ดคือคำแรกที่ผู้คนใช้ค้นหาข้อมูลที่ต้องการ การหา Keyword ที่เหมาะสมจึงช่วยในการจัดอันดับการค้นหาได้ดี การเขียนบทความหรือทำเว็บไซต์ก่อนหา Keyword มักทำให้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้นเมื่อรู้ Keyword ที่ต้องการก็จะทำให้การเขียนบทความหรือปรับแต่งเว็บไซต์ทุกอย่างเป็นไปอย่างเหมาะสม

การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ เมื่อได้ Keyword ที่ต้องการแล้ว ก็นำมาสร้างเนื้อหาลงในเว็บไซต์ได้ โดยเนื้อหาและ Keyword ที่ใช้ควรสอดคล้องกัน โดยทั่วไป Google ชอบเนื้อหาที่มีลักษณะยิ่งยาวยิ่งดี มีลักษณะข้อมูลจากหลายแหล่งที่บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ยิ่งจำนวนคำบนเนื้อหา (Number of words on a page) มากเท่าใด โอกาสการขึ้นอันดับต้น ๆ บนหน้าการค้นหาก็จะยิ่งสูงขึ้น รวมถึงการเพิ่มรูปที่ดึงดูดความสนใจ ช่วยให้เนื้อหาในเว็บไซต์โดดเด่นมากขึ้น

การปรับ On-Page เป็นการปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ให้ตรงตามหลักการค้นหาของ Google ซึ่งมีปัจจัยหลัก ๆ คือการตั้งชื่อ URLs เพราะ URLs เปรียบได้กับชื่อที่อยู่ของบ้านบนโลกอินเทอร์เน็ต ควรตั้งชื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้คนเข้าถึงเว็บไซต์ได้สะดวกขึ้น และความยาวของ URLs ไม่ควรยาวเกินไป ควรกระชับได้ใจความ อีกส่วนสำคัญคือการตั้งชื่อหัวข้อบทความ เพราะเป็นส่วนแรกที่ Google ใช้ค้นหาเป็นอย่างแรก และในชื่อหัวข้อควรมีชื่อ Keyword ประกอบอยู่ด้วย และแนะนำให้ใส่ Internal Link ซึ่งเมื่อใส่เอาไว้ในเว็บไซต์ จะทำให้เว็บไซต์น่าสนใจ และเพิ่มโอกาสการค้นหาได้มากขึ้น

การสร้าง Backlinks ซึ่งเป็นลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์อื่น การเพิ่ม Backlink นั้นมาจากการยื่นข้อเสนอกับเว็บไซต์อื่น เพื่อทำ Backlinks เชื่อมโยงระหว่างกัน และควรเป็นเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกัน

การติดตามผล การทำ SEO มีประสิทธิภาพมีประสิทธิภาพหรือไม่ สามารถติดตามผลได้จากเครื่องมืออย่าง Google Analytics และ Google Search Console เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยติดตามผลการค้นหาของหน้าเว็บไซต์ ช่วยให้รู้ว่ามีคนเข้าเว็บมากเท่าใด จำนวนเพิ่มขึ้นเพียงใด และพฤติกรรมการเข้าเว็บเป็นอย่างไร เป็นต้น

การทำ SEO คือเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ ซึ่งไม่ได้ยากเกินไป แต่ต้องอาศัยความเข้าใจ ติดตามผล และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

Off-Page SEO สิ่งสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ

การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาใน Google เพื่อให้ลูกค้าเห็นสินค้าและบริการของเราเป็นอันดับแรก ๆ นั้นมีสองวิธีคือ ซื้อพื้นที่โฆษณาของ Google ซึ่งมีราคาตั้งแต่หลักสิบไปถึงหลักล้านบาท และอีกวิธีหนึ่งที่ไม่เสียเงินแล้วยังทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบธรรมชาติและยาวนาน นั่นคือการทำ SEO การทำ SEO นั้นมีหลายส่วน วันนี้เรามาดูส่วนของ Off-Page SEO กัน

OFF-Page SEO คืออะไร

Off-Page SEO คือการสร้าง Traffic หรือการทำให้มีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์จำนวนมาก ส่งผลให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยม จึงติดอันดับของ Google ในที่สุด

Off-Page SEO ทำได้ดังนี้

สร้าง Digital Branding – Digital Branding คือการสร้างแบรนด์สินค้าบนโลกออนไลน์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ตั้งชื่อให้สินค้าที่เราจะขายบนอินเทอร์เน็ตนั่นเอง สิ่งนี้จำเป็นเพราะจะเพิ่มความชัดเจนและโดดเด่นของตัวสินค้าและความน่าเชื่อถือ หากไม่มีชื่อแบรนด์ลูกค้าก็ยากที่จะจำสินค้าของเราได้และโอกาสที่จะกลับมาซื้ออีกก็มีน้อย

สร้าง Backlink – Backlink คือลิงก์หรือ URL ที่กดแล้วเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา เป็นปัจจัยหลักในการทำ Off-Page SEO เมื่อได้ Backlink แล้วก็นำไปแปะในเว็บไซต์อื่น ๆ อย่างเช่น เว็บไซต์พันทิป ( Pantip.com ) เมื่อมีคนตั้งกระทู้ว่า “ แนะนำมือถือ สเป็กดี งบไม่เกิน 5,000 หน่อยค่ะ ” ก็เข้าไปตอบกระทู้นั้น โดยแปะลิงก์ร้านขายมือถือของเรา แบบนี้เป็นต้น แต่การแปะ Backlink ต้องดูความเหมาะสมและต้องเคารพกฎของเว็บไซต์นั้นด้วย

สร้างโปรไฟล์แบรนด์ของเราในโซเชียลมีเดีย – สร้าง Facebook, Instagram, Tiktok หรือ Youtube นำลิงก์ของเราไปแปะไว้ ตัวอย่างเช่น โซเชียลมีเดียอาจเอาไว้ให้ลูกค้าสอบถามข้อมูล แต่หากลูกค้าอยากดูสินค้าให้กดลิงค์เข้ามาในเว็บไซต์และทำการซื้อของในเว็บไซต์

ข้อควรระวังในการทำ Backlink

Backlink คือปัจจัยหลักในการทำ Off-Page SEO ไม่ควรทำลิงก์เชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่นที่เว็บไซต์นั้น ๆ มีเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับเว็บไซต์ของเรา ไม่ควรใช้โปรแกรมสร้างลิงก์อัตโนมัติ (Automatic Link Building Program) ที่ผลิตลิงก์เยอะ ๆ ไม่ควรสร้าง Content หลอก ๆ มาเพื่อยิงลิงค์ออกเพียงอย่างเดียว การทำแบบนี้จะถูก Search Engin มองว่าเป็นสแปมและเว็บไซต์อาจจะถูกแบนได้

อยากให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จหรือติดอันดับการค้นหาต้องทำ Off-Page SEO ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ คือการทำ Off-Page SEO คือการทำ Backlink ทั้งนี้ควรทำ Backlink ให้ถูกต้องและมีคุณภาพ เพราะหากหันไปใช้วิธีลัดด้วย Backlink ปลอม ๆ เว็บไซต์ที่ทำมาเหนื่อยยากแสนเข็นอาจถูกปิดหรือแบนได้

การกำหนด KPI บนบทบาทนักการตลาดเว็บไซต์

KPI คือการกำหนดเป้าหมายในการทำ SEO เพราะนอกจากจะช่วยให้อันดับการค้นหาดีขึ้นแล้ว ยังควรช่วยให้มีผู้ชมเข้ามาคลิกไปยังเว็บไซต์ด้วย ดังนั้นการทำ SEO จึงส่งผลทั้งต่อเว็บไซต์ของธุรกิจ และความสำเร็จอื่น ๆ ของธุรกิจ ดังนี้

  • Brand Awareness SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ บ้านผลบอล หรือแบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าหรือบริการ และสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์
  • Website Traffic หรือการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า และการทำตลาดออนไลน์ที่ยั่งยืน
  • Visitor Targeting คือการที่ SEO สามารถช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้โดยตรง โดยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายจากการสร้างคอนเทนต์ หรือสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ด้วยการใช้ Keyword ในคอนเทนต์
  • Conversion Rate เป็น KPI สำคัญของทุกธุรกิจ ทั้งยอดการขายสินค้า ยอดการกรอกแบบฟอร์ม หรือยอดการสมัครตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
  • Authority การสร้างความน่าเชื่อถือในสินค้าและบริการ หากแบรนด์มีความน่าเชื่อถือจากการทำ SEO ที่ดี ก็จะส่งผลให้ลูกค้าเลือกใช้สินค้าและบริการได้มากขึ้น
  • Business Growth เป็นการส่งเสริมให้แบรนด์เกิดการเติบโต เป็นที่รู้จัก หรือยอดขายเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น

การวัดผล KPI ของ SEO จากภาพรวมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ ควรมีรายละเอียดต่อไปนี้

  1. จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Number of Visitors) เพื่อตรวจสอบความนิยมของเว็บไซต์นั้น ๆ แสดงถึงประสิทธิภาพในการทำ SEO จากยอดการเข้าชมที่สูงขึ้น
  2. อัตราของผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งรายใหม่และเก่า (Ratio of New and Returning Visitors) โดยใช้ Cookies ในการนับจำนวนผู้เข้าชม และพิจารณาว่าผู้เข้าชมคนไหนบ้างที่เป็นผู้เข้าชมใหม่ และคนไหนที่เคยเข้ามายังเว็บไซต์แล้ว การที่เว็บไซต์มีผู้กลับเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ซ้ำ (Returning Visitors) มาก แสดงว่าเว็บไซต์นั้นตอบโจทย์ความต้องการของผู้อ่านได้ดี แต่หากมีผู้เข้าชมรายใหม่ (New Visitors) มาก แสดงถึงความสำเร็จในการทำ SEO ของเว็บไซต์นั้น ช่วยให้เกิด Awareness ในกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ และแสดงถึงผลการค้นหาเว็บไซต์ที่ดีบน Search Engine ด้วย
  3. ระยะเวลาการเข้าชมเว็บไซต์ (Session Duration) การมีช่วงเวลาอยู่บนเว็บไซต์ยิ่งนาน ยิ่งแสดงว่าเว็บไซต์นั้นมี SEO ที่ดีสามารถดึงดูดผู้เข้าชม และสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อผู้ชมและเว็บไซต์นั้นได้ หากระยะเวลาการเข้าชมสั้น แสดงว่าควรนำคอนเทนต์มาตรวจสอบว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายเพียงพอแล้วหรือไม่ เพื่อการพัฒนา SEO ที่ดีต่อไป
  4. จำนวนผู้ใช้งานจากการค้นหาบน Google โดยไม่เสียค่าโฆษณา (Number of Users from Organic SERPs) หากการค้นหาทั่วไปบน Search Engine แบบไม่เสียเงิน หรือที่เรียกกันว่า Organic Search มีเป็นจำนวนมาก แสดงว่าการทำ SEO นั้นให้ผลดี ผู้คนให้ความสนใจโดยที่ไม่ต้องยิงโฆษณา
  5. ค่าเฉลี่ยระยะเวลาในการโหลดหน้าเว็บไซต์ (Average Speed) ยิ่งใช้ระยะเวลาในการโหลดหน้าเว็บนาน ก็ยิ่งแสดงถึงผลเสียของผู้ใช้งานและ Search Engine เพราะเสี่ยงที่จะเสียลูกค้าที่ไม่ชอบรอได้ง่าย ควรแก้ไขให้ระยะเวลาการโหลดหน้าเว็บน้อยที่สุด เพื่อให้การทำ SEO ได้ผลที่ดีมากขึ้น

การทำ SEO เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้คนทำธุรกิจไม่ว่าจะรายเล็กหรือรายใหญ่จึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้รอบด้าน อย่างงการกำหนด KPI คือการกำหนดเป้าหมายในการทำ SEO เพื่อวัดผลว่าที่ทำ SEO ไปนั้นไปผลลัพธ์อย่างไร จากนั้นนำไปต่อยอดในการพัฒนาคิดแผนกระตุ้นเพื่อให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น

5 เทคนิค SEO เขียนบทความอย่างไรให้ติดอันดับค้นหา Search Engine

เชื่อหรือไม่ว่าเพียงแค่การเขียนบทความ SEO ภายในเว็บไซต์ สามารถที่จะทำให้ติดอันดับการค้นหาของ search engine ได้ เพียงแต่อาศัย เทคนิคดังต่อไปนี้

รูปแบบของโครงสร้างบทความ

รูปแบบของโครงสร้างบทความจะต้องเรียงลำดับเนื้อหาอย่างชัดเจน มีการตั้งชื่อของหัวข้อหลักและหัวข้อรอง ด้วย heading tag เช่น H1, H2, H3 เพื่อเป็นการเน้นความสำคัญแต่ละส่วนของบทความ

การเลือก Keyword

การเลือก keyword ควรเลือกให้เหมาะสมกับบทความที่จะเขียน โดยเน้นคุณภาพของบทความมากกว่าที่จะใส่ keyword เข้าไปจำนวนมาก เพราะ Ai ของ Google มีการปรับปรุงให้มีความฉลาดมากยิ่งขึ้น สามารถที่จะตรวจสอบได้ว่า keyword ที่เราใส่เข้าไปนั้นสอดคล้องกับบทความที่เขียนและเว็บไซต์ของเราหรือไม่ และ keyword ที่นำมาใช้งานจะต้องมีปริมาณในการค้นหาด้วย สำหรับปริมาณ keyword ที่ควรเลือกนำมาใช้งานนั้น พิจารณาจากจำนวนคนที่ใช้ keyword นั้นในการค้นหาผ่าน Google แล้วระบบมีการจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลเอาไว้ โดยคนเขียนบทความสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ผ่านทาง Google Trends และ Google Keyword Planner

เขียนบทความ

หลังจากวางโครงเรื่องและมี keyword ในการตั้งหัวข้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เป็นในส่วนของการเขียนบทความ SEO โดยการเขียนบทความจะต้องเขียนไปตามอารมณ์เน้นการไหลลื่นและเป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุด ไม่ต้องกลัวว่าจะเขียนผิดหรือใช้ภาษาไม่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องเขียนตามที่มีการวางโครงสร้างเอาไว้ สำหรับบทความควรเขียนไม่ต่ำกว่า 500 คำขึ้นไป ซึ่งถ้าให้ดีควรจะมีค่าเฉลี่ยที่ 1000 คำ ในระหว่างที่เขียนบทความควรสอดแทรก keyword ไปตามส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นย่อหน้า หัวข้อหลัก หัวข้อรอง ให้กระจายทั่วทั้งเนื้อหา โดยจะต้องไม่มากจนเกินไป แต่ถ้าต้องการให้ Ai ของ Google สามารถตรวจจับและประเมินผลได้ดีควรเลือกใช้ LSI KEY มาเป็นตัวช่วยเพื่อที่ BOT ของ Google จะได้ไม่ตีความว่าเป็นการสแปม keyword

ภาพประกอบ

บทความที่ดีควรมีรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพราะจากการสำรวจพบว่าคนที่เข้ามาอ่านบทความส่วนใหญ่จะเห็นรูปภาพก่อนเสมอและเลือกอ่านบทความที่มีรูปภาพ ซึ่งรูปภาพที่นำมาควรเป็นรูปภาพที่ไม่ติดลิขสิทธิ์หรือเป็นรูปถ่ายของคุณเอง พร้อมกับการอธิบายรูปภาพและอาจแทรก keyword เข้าไปในการตั้งค่า alternate text หรือ ALT ของรูปภาพเป็นอีกทางเลือกหนึ่งก็ได้

ลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอก

สำหรับบทความที่นำมาลงภายในเว็บไซต์นั้นการเชื่อมต่อลิงก์ภายในจะต้องมีการเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้มีความสอดคล้องและลื่นไหลเพื่อที่ Google จะได้มองเห็นทราฟิกที่เกิดขึ้นภายใน พยายามอย่าให้ลิงก์เสียหรือคลิกแล้วไม่เจอหน้าเพจที่ต้องการ เพราะหากเป็นเช่นนั้นคะแนนการจัดอันดับก็จะลดลงด้วย ส่วนลิงก์ภายนอกควรเป็นลิงก์ที่มีการเชื่อมต่อมายังเว็บ เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าเว็บมีคุณภาพและใช้เป็นแหล่งอ้างอิงที่มีความน่าเชื่อได้นั่นเอง

สำหรับใครที่กำลังเขียนบทความ SEO เพื่อยกระดับให้เว็บไซต์ของตนเองติดอันดับการค้นหาของ Google อย่าลืมนำเทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้เป็นแนวทางทางในการปรับปรุงเว็บไซต์ให้สามารถติดอันดับการค้นหาได้ และที่สำคัญควรอัปเดตบทความอยู่เสมอ เพื่อที่ Google จะได้มองเห็นว่าเว็บไซต์มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

แจกเทคนิค 5 ข้อในการทำ SEO แบบง่าย ๆ ให้ติดอันดับบน Google

SEO (Search Engine Optimization) หมายถึงการบริหารจัดการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ให้มีการแสดงผลลัพธ์ของการค้นหาใน Search Engine หรือ Google โดยต้องใช้การกรอกคีย์เวิร์ด (Keyword) ของคำที่ต้องการค้นหาเข้าไปในแถบเครื่องมือนั่นหมายถึงหากหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจมีคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่คนนิยมใช้ค้นหามากเท่าไหร่แบรนด์ของธุรกิจก็จะมีโอกาสให้ผู้คนได้ค้นพบเจอมากเท่านั้น นอกจากนี้ยังจะต้องประกอบไปด้วยเทคนิคอื่น ๆ ในการจัดการหน้าเว็บไซต์ด้วยถึงทำให้การทำ SEO เกิดประสิทธิภาพสูงสุดประกอบด้วย

  1. การวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ อย่างเช่น ทำธุรกิจขายเสื้อผ้า บนหน้าเพจหรือเว็บไซต์จะมีแต่คำว่าเสื้อผ้าอย่างเดียวไม่ได้ ควรมีคีย์เวิร์ด (Keyword) สำคัญอย่างอื่นร่วมด้วยเช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนม หรือชุดเซ็ตวัยรุ่น เป็นต้น เพราะคีย์เวิร์ด (Keyword) แวดล้อมเหล่านี้แม้จะไม่ใช่คำที่คนใช้ค้นหากันมากแต่ก็ยังพอมี traffic อยู่บ้างซึ่งจะเป็นโอกาสให้คนค้นหาเว็บไซต์ของธุรกิจเจอง่ายยิ่งขึ้น
  2. หน้าเว็บไซต์ต้องใช้งานได้ง่าย ต้องอย่าลืมว่าคู่แข่งบนโลกออนไลน์มีมากมายหลากหลาย ทางเลือกของผู้บริโภคก็มีมากเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าคนค้นหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจเจอแล้ว แต่บรรดาแถบเครื่องมือบนหน้าเว็บไซต์ใช้งานยากเหลือเกิน หรือต้องการจะค้นหาสิ่งใดในหน้าเว็บไซต์ก็ใช้งานลำบากก็เป็นการตัดโอกาสการเข้าถึงข้อมูลของสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้ ดังนั้นคอนเซปต์ของการออกแบบหน้าเว็บไซต์นอกจากสวยงามสะดุดตาแล้วยังต้องให้ใช้งานได้ง่ายและลื่นไหลด้วย
  3. คอนเทนต์ต้องมีคุณภาพ ยิ่งเป็นคอนเทนต์ตามยุคตามเทรนด์หรือให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคต้องยิ่งแสดงให้มากเข้า เพราะ Google ก็มีการจัดอันดับคอนเทนต์ของเว็บไซต์ธุรกิจด้วย หากคุณภาพของคอนเทนต์ดีจะเป็นการเพิ่มคุณภาพของ link และระดับคะแนนของเว็บไซต์จะทำให้ผู้คนเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจได้ง่าย เร็ว และแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น
  4. การสร้างการเชื่อมโยงของ link เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาคอนเทนต์และคีย์เวิร์ด กล่าวคือการมีช่องทางเครือข่ายของ link ที่อ้างอิงมาสู่หน้าเว็บไซต์ของธุรกิจได้จะเป็นการเพิ่มแต้มและอันดับของเว็บไซต์ธุรกิจบนหน้า Google ให้ดียิ่งขึ้น เทคนิคหนึ่งที่คนนิยมใช้คือการใช้ blog ของ Influencer เชื่อมโยงมาสู่หน้าเว็บไซต์ธุรกิจ
  5. ใช้ประโยชน์จาก Social Media ให้เป็นคือต้องเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคือคนกลุ่มใดแล้วเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมในการสื่อสารภาพของธุรกิจไปยังกลุ่มเป้าหมายนั้น เทคนิคง่าย ๆ คือการสร้างสัมพันธ์กับ Influencer ที่มีผู้ติดตามมาก ๆ เพื่อให้พวกเขาช่วยเป็นกระบอกเสียงสื่อสารถึงภาพแบรนด์ของธุรกิจให้รู้จักกันเป็นวงกว้าง

สรุปก็คือหากธุรกิจต้องการประสบความสำเร็จในยุค 4G SEO คือเครื่องมือที่ง่ายที่สุด และใช้งบประมาณน้อยที่สุดในการโปรโมทให้คนภายนอกได้สัมผัสกับตัวตนของธุรกิจได้เร็วและแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงต้องนำเทคนิคในการทำ SEO มาใช้ให้มีประสิทธิภาพเพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างสูงสุด

คีย์เวิร์ดนั้นสำคัญอย่างไรในการทำ SEO

คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก หากเราเขียนบทความแล้วไม่มีคนอ่าน โดยเฉพาะถ้าเราเขียนบทความนั้นเพื่อให้คนเข้ามายังเว็บไซต์ธุรกิจที่สร้างขึ้น มันจะดีอย่างไรถ้าเรามีสินค้าที่ดีแต่ไม่มีใครเห็น สิ่งเหล่านี้อาจจะมีสาเหตุมากจากการที่เราไม่เข้าใจในเรื่องของการทำการตลาดแบบ SEO

คีย์เวิร์ด (Keyword) คืออะไร ?

คีย์เวิร์ดก็คือคำที่ผู้คนใช้ค้นหาเพื่อให้เข้ามาพบกับบทความหรือเว็บไซต์ของเรา เพราะเวลาที่ผู้คนต้องการค้นหาข้อมูลบางอย่าง ก็จะใช้การพิมพ์คำสั้น ๆ ลงไปผ่าน Search Engine จากนั้นระบบก็จะประมวลผลและแสดงผลการค้นหาให้ผู้ชมได้เห็น ซึ่งนักการตลาดทราบดีว่าการใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้อง จะช่วยให้เข้าถึงผู้คนได้เป็นจำนวนมาก หากสามารถทำให้บทความที่แทรกคีย์เวิร์ดไว้ สามารถแสดงผลได้ในหน้าแรกของผลการค้นหา ก็จะส่งผลดีต่อธุรกิจที่มีเว็บไซต์ออนไลน์อย่างมหาศาล

คีย์เวิร์ด (Keyword) มีความสำคัญอย่างไร

คีย์เวิร์ดคือจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการกับลูกค้า – การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีผู้คนค้นหามาก จะส่งผลให้เราเข้าถึงกลุ่มคนได้เป็นจำนวนมาก และการใช้คีย์เวิร์ดในบทความมากกว่า 1 คีย์เวิร์ด ก็จะทำให้เราเข้าถึงกลุ่มคนได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เมื่อมีผู้คนเข้ามายังเว็บไซต์ของเรามากแล้ว โอกาสในการสร้างรายได้จากการขายสินค้าและบริการหรือการสร้างรายได้จากค่าโฆษณาก็จะมากขึ้นเช่นกัน

คีย์เวิร์ดคือทำเลทางธุรกิจ – หากเรามีร้านค้าในการขายสินค้า การเลือกทำเลที่ดี มีผู้คนเดินผ่านไปมาเป็นจำนวนมากหรือเป็นทำเลที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ก็จะทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้ แต่การทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่ใคร ๆ ก็สามารถสร้างเว็บไซต์เป็นของตนเองได้ คีย์เวิร์ดจะเปรียบเสมือนทำเลที่ทำให้มีผู้คนผ่านเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา หากเรามีคีย์เวิร์ดที่ไม่ดี โอกาสที่คนจะเห็นร้านของเราก็จะน้อยลงไปด้วย

คีย์เวิร์ด สามารถวางแผนทางการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ – คีย์เวิร์ดจะเป็นตัวคัดกรองกลุ่มเป้าหมายจากการวิเคราะห์ของระบบ Search Engine ทำให้เราทราบกลุ่มเป้าหมายได้ จะทำให้เรามีโอกาสในการใช้ข้อมูลนั้นในการวางแผนการตลาดได้ในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เปรียบได้กับอาวุธในการเล็งเป้าหมายสำหรับนักการตลาดออนไลน์ การเข้าใจวิธีใช้คีย์เวิร์ดในการทำ SEO จะทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จในด้านการตลาดแบบออนไลน์มากขึ้น ในโลกยุคปัจจุบันต่างก็ใช้โลกออนไลน์ในการติดต่อสื่อสารและเชื่อมโลกเข้าถึงกันได้อย่างรวดเร็ว ผู้ที่ปรับตัวได้เร็วก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ที่มีการแข่งขันกันสูง

google insight คืออะไร ?

แม้ว่าในปัจจุบันจะมีจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ Social media ค้นหาข้อมูลบนโลกอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นแต่ Google Search ยังคงครองอันดับหนึ่งในการค้นหาข้อมูลในปี พ.ศ.2565 เนื่องจาก Google Search ได้รวบรวมข้อมูลที่ถูกเผยแพร่เอาไว้ในโลกอินเทอร์เน็ตและทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นว่ามีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายมากน้อยเพียงใด จากนั้นจึงทำการจัดอันดับเว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานมากที่สุด โดยหลักการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้ติดอันดับในหน้าแรกของ Google เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ Keyword (คำค้นหา) ที่มีจำนวนกลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหาข้อมูล จากนั้นนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ Content ที่กลุ่มเป้าหมายต้องการและมีการทำ Backlink หรือแทรกลิงก์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ซึ่งขั้นตอนในการทำ Content ให้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ดังกล่าวนี้เป็นเพียงวิธีการอย่างย่อและในความเป็นจริงของการทำอันดับจะมีความซับซ้อนมากกว่านี้

google insight สำคัญต่อการทำ SEO อย่างไร?

พันธกิจของ Google มุ่งเน้นเรื่องการจัดระเบียบข้อมูลให้เข้าถึงง่ายและมีประโยชน์มากที่สุด ทำให้การนำ google insight มาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหา Content ตามที่ Google แนะนำจะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ได้ง่ายขึ้นและหากหมั่นปรับปรุงเนื้อหาตามที่ Google insight ก็สามารถคงอันดับได้นานขึ้นด้วย

google insight คือ เครื่องมือที่ Google พัฒนาขึ้นมาเพื่อ Content Creator โดยเฉพาะ เพื่อให้ Content Creator สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาคอนเทนต์ได้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำเว็บไซต์ขนาดใหญ่อย่างพวก ผลบอล888 จำเป็นต้องวิเคราะห์กลุ่มคีย์เวิร์ดให้กว้าง โดยลักษณะการทำงานของ google insight จะทำการแสดงผลลัพธ์ที่ช่วยให้การทำคอนเทนต์ง่ายมากขึ้น ดังนี้

แสดงหน้าเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เช่น คอนเทนต์เกี่ยวกับการให้ข้อมูล, คอนเทนต์เกี่ยวกับการเดินทางหรือช่องทางไปยังที่ใดที่หนึ่ง, คอนเทนต์เกี่ยวกับตัวเลือกเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบข้อมูล หรือคอนเทนต์ของ E-Commence เป็นต้น

แสดง Keyword (คำค้นหา) ที่ถูกนำมาใช้ในหน้าเว็บไซต์ยอดนิยม
Content Style ที่กลุ่มเป้าหมายชื่นชอบ เช่น คอนเทนต์จำพวกบทความ, Infographic หรือ VDO เป็นต้น

วิธีใช้งาน google insight แสนง่าย

เพียงคลิกลิงก์ https://search.google.com/search-console/insights/about เพื่อเข้าสู่เว็บไซต์ จากนั้นคลิกเมนู search console insights และทำการติดตั้ง search console insights กับเว็บไซต์ของตัวเองเพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย เมื่อเชื่อมต่อเว็บไซต์ของตัวเองเข้ากับ google insight เรียบร้อย จะเห็นภาพรวมของเว็บไซต์เราในมุมมองของ Google ซึ่งจะทำให้เราทราบถึงจำนวนผู้คลิกเข้าสู่เว็บไซต์และ Keyword หรือคำค้นหาที่ใช้ถูกใช้ในการค้นหาเว็บไซต์ของเรา รวมถึงอันดับในการแสดงผลจาก Keyword

หากต้องการเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ด้วย google insight ควรเริ่มต้นด้วยการนำ Primary Keyword ที่ต้องการติดอันดับไปค้นหาใน Google จากนั้นให้สังเกตสไตล์การเขียน หัวข้อและประเภทของคอนเทนต์ที่แสดงบนหน้าแรกของ Google และนำไปปรับใช้กับ Content ของตัวเอง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนหน้าแรกได้ง่ายขึ้น