ทำไมนักธุรกิจรุ่นใหม่ถึงควรใช้ Niche Keyword มากกว่า Mass Keyword ทำเว็บไซต์ SEO

การทำธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันมีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเราเชื่อมโยงกันด้วยระบบอินเทอร์เน็ตแบบ 5G มีความรวดเร็วว่องไว และมีผู้ผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วโลก

Keyword SEO มีความสำคัญอย่างไร

การเลือกใช้ Keyword SEO ในการสร้างบทความคุณภาพอย่างสม่ำเสมอในเพจของคุณ โดยเฉพาะเว็บไซต์ของนักธุรกิจออนไลน์หน้าใหม่ จึงสำคัญต่อการประสบความสำเร็จในการปิดยอดขายตามไปด้วย ซึ่งกูรูทางการตลาดออนไลน์แนะนำให้ผู้ที่เปิดเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ในระยะหลัง เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เป็น Niche Keyword มากกว่า Mass Keyword ด้วยเหตุผล คือ Niche Keyword เป็นการใช้คำหรือวลีที่เฉพาะเจาะจงกับตัวสินค้า เพื่อสื่อสารตรงไปกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างชัดเจน ส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นที่จดจำได้ดีกว่าการใช้ Mass Keyword

ตัวอย่างเช่น คุณขายคีย์บอร์ดสำหรับเล่นเกมส์ออนไลน์ คุณควรจะใช้ Niche Keyword ว่า คีย์บอร์ด เล่นเกมส์ออนไลน์ E-Sport แบรนด์ญี่ปุ่น นำเข้า ราคาถูก เป็นต้น แทนที่จะใช้คำสั้น ๆ เพียง คีย์บอร์ดออนไลน์ ซึ่งไม่สื่อถึงสินค้าที่เจาะจง

เมื่อมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่กำลังสนใจเล่นเกมส์ออน์ไลน์ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน และมีกำลังซื้อพร้อม ต้องการคีย์บอร์ดออนไลน์ที่เป็นแบรนด์นำเข้าจากญี่ปุ่น มาใช้คีย์เวิร์ดดังกล่าวในการพิมพ์ค้นหา ใน Google หรือ Bing ก็จะแสดงผลเว็บไซต์ของคุณเป็นอันดับต้น ๆ คุณจึงมีโอกาสในการขายสินค้าได้ในทันทีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณใช้ Mass Keyword นอกจากจะลดโอกาสในการได้ขายสินค้าแก่ลูกค้าเฉพาะกลุ่มเหล่านี้แล้ว แบรนด์ของเว็บไซต์คุณก็จะไม่ชัดเจน ไม่เป็นที่จดจำเท่าที่ควร

ยิ่งไปกว่านั้น ต้องยอมรับว่าลูกค้าในปัจจุบันต้องการที่จะสืบค้นข้อมูลแล้วได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจอย่างรวดเร็ว เมื่อมีการพิมพ์ข้อมูลในช่อง Search ผลที่ปรากฏในหน้าการสืบค้น อันดับ 1-5 จะได้รับความสนใจคลิกเข้าไปดูและสั่งซื้อมากกว่าอันดับรองลงไปหรือในหน้าหลัง ๆ หลายเท่าตัว หากกรณีที่กล่าวมา คุณใช้คำว่า คีย์บอร์ดออนไลน์ โอกาสที่จะดึงดูดให้ลูกค้าคลิกเข้ามาชมข้อมูลและสั่งซื้อก็จะน้อยลงไป เพราะลูกค้ากลุ่มที่ต้องการสินค้าที่เฉพาะรุ่นและแบรนด์ จะรู้สึกว่าเป็นการเสียเวลาที่ต้องมาค้นหาข้อมูลเพิ่มจากเว็บไซต์ของคุณ และอาจคิดว่าคุณไม่มีรุ่นของสินค้าที่ต้องการด้วย คุณจึงพลาดโอกาสในการขายสินค้าออนไลน์ไปอย่างน่าเสียดาย และทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งรายอื่นที่เปิดเว็บไซต์มานาน ซึ่งมีฐานลูกค้าที่กว้างกว่านั่นเองKeyword SEO มีความสำคัญอย่างไร

หวังว่า บทความนี้จะทำให้ทุกท่านเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Niche Keyword และ Mass Keyword มากยิ่งขึ้น ในยุค 2019 นักธุรกิจออนไลน์รุ่นใหม่ จึงจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์แบรนด์ของตัวเองให้ชัดเจน เพื่อทำ SEO ด้วย Niche Keyword ที่เหมาะสม นำเสนอให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ได้

การทำเว็บไซต์ SEO ดีอย่างไร ทำไมคนถึงแนะนำและบอกต่อ

SEO หรือ Search Engine Optimization หมายถึงการพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีคุณภาพตามที่ระบบ Search Engine ตั้งหลักเกณฑ์ไว้ เพื่อเป็นการคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์ทางธุรกิจให้ผู้ที่ใช้บริการ Search Engine นิยมการใช้ Yahoo, Bing หรือ Google มากขึ้น

ทั้งยังทำให้เว็บไซต์ที่ตั้งใจทำจนมีคุณภาพดีได้รับการสนับสนุนจากผู้ใช้งาน จากอันดับ SEO ที่ระบบ Algorithm คอมพิวเตอร์อัจฉริยะเป็นผู้วิเคราะห์ โดยไม่มีการต้องจ่ายเงินและไม่สามารถที่จะล็อกหรือว่าซื้ออันดับของ SEO ได้

ผู้ที่ทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ในปัจจุบัน จึงแนะนำและบอกต่อให้ทำ SEO โดยการพัฒนาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องจะมีข้อดีดังต่อไปนี้

1. เสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าเก่าและใหม่ ว่าเว็บไซต์ของคุณมีข้อมูลที่ทันสมัยอยู่เสมอ และหากมีการขายสินค้าและบริการลูกค้าก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เสียเงินเปล่าหรือถูกหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ

2. สามารถขยายฐานลูกค้าไปต่างประเทศได้ โดยเฉพาะถ้าคุณใช้ Keyword และบทความผลิตเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาจีนญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ จะทำให้มีลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติมากขึ้น โดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินเป็นค่าตั๋วเครื่องบินไปจัดบู๊ธโปรโมทสินค้าในต่างประเทศเป็นหลักหมื่นถึงแสนบาท

3. ช่วยให้นักธุรกิจรายใหม่ที่มีเงินทุนน้อย มีอำนาจในการแข่งขันใกล้เคียงกับธุรกิจที่ก่อตั้งมานานแล้วได้ เนื่องจากหากมีความขยันในการพัฒนาเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ อันดับ SEO ก็ย่อมสูงขึ้น มีโอกาสปรากฏในหน้าต่างการสืบค้นเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าที่กำลังต้องการสินค้าประเภทที่คุณจำหน่ายได้มากขึ้น จึงไม่ต้องกังวลว่าการทำธุรกิจออนไลน์แล้วจะไม่สามารถแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ ๆ ได้

4. การทำ SEO ช่วยให้ไม่หยุดนิ่ง มีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ ทั้งมีความกระตือรือร้นเมื่อเห็นค่าสถิติที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เช่น ค่า Time On Site เป็นตัวเลขที่หมายถึงระยะเวลาที่คนอ่านใช้เวลาอยู่กับบทความของเพจคุณ และค่า CTR หรือ Click Through Rate ที่หมายถึง สัดส่วนการคลิกที่ผู้อ่านสะดุดตาและคลิกเข้ามาอ่านบทความของเว็บไซต์ธุรกิจคุณ เมื่อมีเพิ่มมากขึ้นก็จะสัมพันธ์กับยอดในการขายสินค้าและบริการที่สูงขึ้นตามไปด้วย

5. การทำเว็บไซต์ SEO ทำให้แบรนด์สินค้าของคุณมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยม ทำให้เกิดรายได้จากการฝากโฆษณาของสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง จำนวนหลักพันถึงหลักแสนบาทต่อเดือนเลยทีเดียว

จะเห็นได้ว่า ข้อดีของการทำ SEO มีอยู่หลายด้าน ทั้งยอดขาย ฐานลูกค้า รายได้จากการโฆษณาของนักธุรกิจรายอื่น ซึ่งผู้ที่ต้องการทำธุรกิจออนไลน์ สามารถเรียนรู้หลักการทำ SEO จากหนังสือและคลิปใน Youtube และนำไปปรับใช้ เพื่อเพิ่มอำนาจในการแข่งขันและ เพิ่มรายได้ให้แก่เว็บไซต์ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการทำธุรกิจยุคปัจจุบัน

แนะนำและบอกต่อให้ทำ SEO โดยการพัฒนาเว็บไซต์

ข้อควรรู้ก่อนจ้างผู้ให้บริการ SEO

การโปรโมทธุรกิจผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางที่สะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ยิ่งถ้ามีการค้นหาในระบบอยู่อันดับต้น ๆ ยิ่งทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น หลายคนที่ต้องการทำให้ธุรกิจของตนติดอันดับการค้นหามักจ้างผู้ให้บริการ SEO สร้าง หรือแก้ไขเว็บไซต์ให้เป็นที่นิยม หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังจะเรียกใช้บริการทำ SEO เรามีข้อควรรู้ก่อนจ้างผู้ให้บริการ SEO มาแนะนำเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น

1.ต้องการทำ SEO เกี่ยวกับธุรกิจประเภทใด

คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณต้องการโปรโมทเกี่ยวกับสินค้า หรือบริการประเภทใด เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวกำหนดขอบเขตของการเขียนบทความ การแทรก Keyword เพื่อให้ติดอันดับการค้นหา รวมไปถึงการตกแต่งเว็บให้ให้เข้ากับธุรกิจนั้นๆ

2.คัดกรองผู้ให้บริการ

การรับทำ SEO มีทั้งในรูปแบบบริษัท ฟรีแลนซ์ และเอเจนซี หากคุณต้องการความน่าเชื่อถือ ประกันการทำงาน การจ้างบริษัทจึงเป็นทางเลือกที่ดี แต่อาจมีเรื่องของเวลามาเกี่ยวข้อง ส่วนผู้ให้บริการแบบฟรีแลนซ์มีข้อได้เปรียบตรงค่าจ้างที่ถูกลง ใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน แต่อาจจะติดตรงความน่าเชื่อถือ หากคุณจ้างเอเจนซีจะได้เปรียบในเรื่องของผลระยะยาว เพราะมีการคิดค้นความเป็นเอกลักษณ์ให้แก่เว็บไซต์ มีการดูแลลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงหลังส่งมอบงาน แต่ราคาก็จะสูงตามคุณภาพ

3.การเตรียมข้อมูล

ข้อมูลบริษัทหรือองค์กร ข้อมูลของสินค้า ผลงาน เสียงตอบรับจากผู้ใช้บริการ ช่องทางการติดต่อ เพื่อให้ผู้รับทำ SEO ได้ออกแบบเว็บไซต์ บทความโฆษณาให้เหมาะสม ควรมีการแจกแจงข้อมูลว่าต้องการเน้นส่วนสำคัญตรงจุดใด การลำดับความสำคัญเพื่อเป็นการย่นระยะการทำงานให้ง่ายมากยิ่งขึ้น

4.เตรียมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่ผู้ให้บริการเรียกเพิ่ม แต่เป็นสิ่งที่คุณต้องจ่ายเพื่อเว็บไซต์ของคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นค่าโดเมน หรือชื่อเว็บไซต์ซึ่งต้องสอดคล้องกับธุรกิจมากที่สุด ค่ารูปภาพที่มีลิขสิทธิ์ ค่าโฆษณาการตลาดออนไลน์ ค่าโฮสติ้ง หรือค่าพื้นที่ในการติดตั้งเว็บ เพื่อให้เว็บไซต์ออนไลน์ได้

5.การดูแลหลังส่งมอบงาน

ตรวจสอบบริการหลังส่งมอบงาน ควรเลือกผู้ให้บริการที่มีการดูแลหลังการส่งมอบงานอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อป้องกันเว็บไซต์เกิดปัญหาภายหลัง

การทำ SEO ก็เหมือนกับการก่อสร้าง ข้อมูลธุรกิจของคุณก็เปรียบได้กับอุปกรณ์ หากมีอุปกรณ์เพียงพอการก่อสร้างก็จะดำเนินไปได้สะดวก รวดเร็ว เพื่อป้องกันการผิดพลาด ควรเลือกผู้ให้บริการที่มีประสิทธิภาพซึ่งเปรียบเสมือนช่างผู้รับเหมา หากมีความรับผิดชอบ ไม่ทิ้งงาน เก็บทุกรายละเอียด งานก็จะออกมาดีมีคุณภาพ แต่การจะทำให้เว็บติดอันดับต้นๆในการค้นหาได้นั้น เวลาคือตัวแปรสำคัญ ฉะนั้นหากคุณต้องการทำ SEO ควรลงมือตั้งแต่วันนี้ ออกสตาร์ทก่อน มีสิทธิ์ถึงเส้นชัยก่อน

ผู้ให้บริการ SEO มาแนะนำเพื่อป้องกันความผิดพลาด

ประโยชน์ของวิดีโอบนหน้าเว็บเพื่อให้มีอันดับที่ดีใน SEO

ทุกวันนี้จะเห็นคลิปวิดีโอสั้นๆ ในเว็บไซต์สินค้าและบริการมากขึ้น เพราะเป็นรูปแบบที่สื่อสารเข้าใจง่ายและรวดเร็วกว่าการอ่านข้อความและได้ผลตอบรับสูง การสร้างสรรค์คลิปวิดีโอแปลกใหม่น่าสนใจดึงดูดความสนใจผู้ชมจำนวนมากและอาจกลายเป็นไวรัลให้กระแสสังคมพูดถึงแบบปากต่อปาก ทำให้คนจดจำแบรนด์ได้ง่าย นอกจากนั้นยังสามารถใส่คีย์เวิร์ดในการทำ SEO เพื่อให้ผู้บริโภคค้นพบเว็บไซต์และลิงก์เข้าเยี่ยมชมในภายหลัง การใช้เนื้อหาวิดีโอบนหน้าเว็บถือเป็นข้อได้เปรียบใน การทำ SEO ปรับปรุงการจัดอันดับการค้นหาในเสิร์ชเอนจินและเพิ่มจำนวนคนติดตามได้ไม่น้อย

มาดูกันว่าการโพสต์วิดีโอบนหน้าเว็บมีประโยชน์อย่างไร

1.การตลาดบนวิดีโอคือดึงดูดความสนใจให้ผู้ชมเข้าค้นหาในเว็บเพิ่มเติม เพราะมีเว็บเปิดตัวออกมาแข่งขันธุรกิจมากมาย ถ้าเนื้อหาคอนเทนต์มีคุณภาพต่ำ คนเข้าเว็บไซต์ดูหน้าเดียวแล้วออกในทันทีทำให้เว็บมีปัญหาและตำแหน่งของอันดับจะลดลงไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อเพิ่มคลิปวิดีโอเข้ามา คนดูจะคลิกเข้าดูหน้าที่มีวิดีโอบ่อยกว่าหน้าธรรมดามากกว่า 40% นอกจากนั้นยังใช้เวลาดูวิดีโอนานกว่าหน้าที่มีแต่ข้อความสูงเกือบ 3 เท่า ไม่เพียงมีคนจำนวนมากค้นพบหน้าเว็บเท่านั้น แต่ยังใช้เวลาดูนานขึ้นซึ่งมีผลจากการจัดอันดับของ Google ด้วย

2.วิดีโอสร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของผู้ชมเว็บ เป็นเพราะคนส่วนมากไม่สนใจอ่านข้อความยาว ๆ กันแล้ว แต่การรวมเนื้อหาวิดีโอในหน้าเว็บทำให้ใช้เวลาดูไม่ถึงนาทีก็เข้าใจและเข้าถึงเนื้อหามากขึ้น เช่น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ใช้วิดีโออธิบายได้ว่าคืออะไร สำคัญอย่างไร และมีเหตุผลอะไรที่ต้องซื้อ วิดีโอเป็นส่วนเสริมข้อความหรือโพสต์รูปภาพที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นควรโพสต์ไปยังช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, YouTube, Pinterest และอื่น ๆ ยิ่งมีคนสนใจดูวิดีโอมากเท่าไหร่ การจัดอันดับของ Google ก็จะดีขึ้นตามลำดับ ช่วยให้การทำ SEO เกิดผลสำเร็จอย่างมาก

3.คลิปวิดีโอช่วยให้เข้าใจรวดเร็วและจดจำข้อมูลได้ง่ายขึ้น พบว่าความนิยมในตัววิดีโอดึงดูดสนใจให้ผู้ชมคลิกลิงก์เข้ามาเยี่ยมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 3 เท่า ดังนั้นการสร้างลิงก์ย้อนกลับจากโซเชียลมีเดียมายังเว็บไซต์ต้นทางจึงให้ประโยชน์อย่างมาก คนที่ชื่นชอบจะกดแชร์และติดตามเพื่อค้นหาวิดีโอง่ายในครั้งถัดไป เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาให้ดีขึ้น

4.คลิปวิดีโอเข้าถึงคนจำนวนมากกว่ากลยุทธ์ทางการตลาดใด ๆ ทั้งนี้ ผู้ใช้โซเชียลส่วนใหญ่ทำการแชร์คอนเทนต์ YouTube ตลอดเวลา จำนวนผู้ใช้ YouTube มากกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลกซึ่ง 1 ใน 3 เชื่อมต่อกับ Facebook และดูวิดีโอกันทุกวัน ควรให้ความสำคัญกับแพลตฟอร์มวิดีโอที่แสดงเนื้อหาคอนเทนต์ที่น่าสนใจและเหมาะกับอุปกรณ์พกพา เนื่องจากผู้ใช้มักจะเปิดดูวิดีโอบนสมาร์ทโฟนและมีแนวโน้มที่จะแบ่งปันเนื้อหาที่ชอบกับคนอื่น ช่วยเพิ่มคนเข้าเว็บไซต์ทำให้ติดอันดับการค้นหาอย่างรวดเร็วมาก

มาดูกันว่าการโพสต์วิดีโอบนหน้าเว็บมีประโยชน์อย่างไร

วิธีทำ SEO ดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้ยอดขายทะลุเป้า

การออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจและสร้างคอนเทนต์น่าอ่านเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับนักธุรกิจมือใหม่ที่ต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น วิธีการทำ SEO กลายเป็นส่วนสำคัญทำให้มีผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์จำนวนมาก โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาอุดหนุนสินค้าหรือบริการอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ลองทำตามเคล็ดลับ 4 ข้อต่อไปนี้ช่วยสร้างความประทับใจให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นภายใน 90 วัน

1.คอนเทนต์คือหัวใจสำคัญ

ไม่ว่าคุณจะเริ่มธุรกิจขนาดเล็กหรือสร้างแบรนด์ใหญ่ การเขียนบทความแนวบล็อกในเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญ ความแตกต่างของสองสิ่งคือเว็บไซต์เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ มีโปรไฟล์ของธุรกิจที่ใช้ภาษาเป็นทางการ ส่วนเว็บบล็อกเขียนบทความแบบเป็นกันเอง เป็นการบอกเล่าเกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือกิจกรรมของบริษัท ซึ่งจะต้องสร้างเนื้อหาอย่างต่อเนื่องเพื่ออัปเดตความเคลื่อนไหวให้ผู้ชมเข้ามาติดตามสม่ำเสมอ ส่งผลดีต่อ การทำ SEO ให้แบรนด์สินค้าอยู่ในสายตาผู้ชมและผลักดันเว็บไซต์ขึ้นแท่นอันดับต้น ๆ ของ Google อย่างมีประสิทธิภาพ เทคนิคการสร้างคอนเทนต์จะเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เขียนพาดหัวน่าสนใจ เนื้อหาบทความน่าอ่าน ใช้รูปภาพ กราฟิก และวิดีโอดึงดูดความสนใจและอธิบายให้เข้าใจง่ายในเวลาอันสั้น

2.เชิญบล็อกเกอร์คนดัง

นอกจากเขียนบล็อกเผยแพร่บทความออกไปแล้ว ยังสามารถเชิญบล็อกเกอร์ที่มีผู้ชมติดตามในเว็บไซต์อื่นมาร่วมเขียนคอนเทนต์ได้ด้วย อันดับแรกจะต้องกำหนดกติกาบางอย่าง เช่น เชื่อมโยงเนื้อหาระหว่างเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการซึ่งจะมีประโยชน์กับระบบ SEO ที่จะพิจารณาอันดับในเครื่องมือค้นหา ข้อสำคัญคือตรวจสอบให้แน่ใจว่าบล็อกเกอร์นั้นไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าถูกยื้อแย่งไป เลือกบล็อกเกอร์ที่เขียนเนื้อหาดีมีคุณภาพ เป็นประโยชน์ต่อผู้ชม และกระตุ้นความสนใจให้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนั้นบล็อกเกอร์ควรใช้โซเชียลมีเดียของตัวเองช่วยแชร์โพสต์ให้มีผู้ติดตามกลับมายังเว็บไซต์ของคุณด้วย

3.ใช้โซเชียลมีเดีย

ถ้าทำเว็บไซต์คุณภาพดีแต่ไม่มีคนเข้าค้นหาสินค้าหรือบริการก็ไม่มีความหมาย เครือข่ายโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram, Line, Snapchat, Pinterest และ YouTube ช่องทางเหล่านี้ล้วนเป็นช่องทางโปรโมทเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อเข้าถึงลูกค้าง่ายและรวดเร็วราวกับติดจรวด เนื่องจากผู้ติดตามโซเชียลจะเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ด้วย ควรเรียนรู้วิธีการเขียนคอนเทนต์ในเฟซบุ๊ก เว็บบล็อก และเว็บไซต์ให้มีรูปแบบที่เหมาะสมทุกช่องทาง เลือกใช้สื่อโซเชียลมีเดียให้ถูกจังหวะ รู้ว่าโพสต์เวลาใดที่มีคนเห็นมากที่สุด เพื่อเป็นช่องทางส่งเสริมการทำ SEO ให้เว็บไซต์เป็นที่สนใจมากขึ้น

4.ซื้อโฆษณา

หากคุณมีงบประมาณพอสมควร การลงทุนซื้อโฆษณาของ Google หรือโฆษณา Facebook เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อใช้เป็นทางลัดเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่คุณเลือกและเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ โดยเลือกโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิกที่จ่ายเฉพาะเวลามีผู้คลิกเข้าเว็บไซต์เท่านั้น เป็นวิธีเจาะเข้าถึงลูกค้าที่สนใจในสินค้าหรือบริการโดยตรง ควรจัดทำจดหมายข่าว โฆษณาออนไลน์และโซเชียลมีเดีย รวมหลายกลยุทธ์เพื่อสื่อสารกับลูกค้าให้กลับมาหาข้อมูลในเว็บไซต์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งหมดนี้คือกลยุทธ์ที่จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเข้าชมเว็บไซต์ และอุดหนุนสินค้าต่อเนื่องให้ยอดขายทะลุเป้า

เคล็ดลับ 4 ข้อต่อไปนี้ช่วยสร้างความประทับใจ

หาความรู้กับ SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร

การทำธุรกิจออนไลน์ในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องใส่ใจเทคนิคที่ช่วยในการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับแบรนด์สินค้ายี่ห้ออื่นได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการทำ SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่มีความนิยมมาก และช่วยให้บรรลุผลสำเร็จที่วางไว้ได้ดีขึ้น

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมเรื่องที่น่าสนใจและแยกความแตกต่างของ SEO กับ SEM เพื่อให้ทุกท่านเลือกใช้กับธุรกิจออนไลน์ได้อย่างเหมาะสม

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นการตลาดออนไลน์แบบที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อพื้นที่โฆษณา เพราะเน้นที่การพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ ที่ระบบ algorithm ของ search engine เช่น Yahoo, Bing, Google จะวิเคราะห์ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงทำให้มีผลการจัดอันดับการสืบค้นอยู่ในอันดับต้น ๆ เช่น Top5 Top10 ของ keyword หนึ่ง ๆ

เนื่องจากระบบการ AI มีกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนและจะมีการวิเคราะห์ตามการอัพเดตเนื้อหาหรือ content SEO รวมถึงค่าทางเทคนิค เช่น จำนวนผู้เข้าชม ระยะเวลาในการใช้เวลาอยู่หน้าจอ อัตราการตอบสนองของกลุ่มเป้าหมาย ฯลฯ จึงทำให้ต้องพัฒนาเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งนับว่าเป็นจุดดีที่ทำให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ ๆ สามารถแข่งขันกับเจ้าเก่าในตลาดได้

นอกจากนี้ การทำ SEO ยังครอบคลุมถึงการออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย ทั้งคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะและโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเข้ากับไลฟ์สไตล์คนในยุคปัจจุบันด้วย การที่ต้องใช้เวลาสะสมข้อมูลต่าง ๆ จึงทำให้ การทำ SEO เห็นผลได้ดีหลังพัฒนาเว็บไซต์ต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป

การทำ SEM หรือ Search Engine Marketing

ส่วนการทำ SEM หรือ Search Engine Marketing เป็นการตลาดแบบมีค่าใช้จ่าย คือ การซื้อพื้นที่โฆษณาด้านบนของหน้าต่างการสืบค้น เพื่อให้มีโอกาสนำเสนอสินค้าและบริการแก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตลอดเวลาที่มีการค้นหาโดยใช้ Keyword นั้น ทั้งนี้ จะต้องมีการประมูลเพื่อชิงพื้นที่ในการโฆษณากับคู่แข่งทางการค้าที่ใช้ keyword เดียวกันอีกหลายแบรนด์ และเมื่อได้พื้นที่โฆษณาแล้ว จะต้องทำการชำระค่าใช้จ่ายแก่ Bing และ Google ตามจำนวนครั้งในการคลิก หรือที่เรียกว่า PPC (PAY PER CLICK) การทำ SEM จึงเป็นสิ่งที่เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มปริมาณของลูกค้าและยอดการขายได้ในเวลาอันสั้น

การทำการตลาดด้วยวิธี SEO และ SEM ต่างเป็นสิ่งที่นักธุรกิจออนไลน์นิยม โดยสามารถนำมาผสมผสานร่วมกัน เพื่อกระตุ้นยอดขายให้แก่เว็บไซต์ได้ เช่น ทำ SEO ให้เว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการทำ SEM เป็นระยะเมื่อต้องการโปรโมทสินค้าใหม่ จะทำให้กระตุ้นยอดการสั่งซื้อและสร้างฐานลูกค้าใหม่ ๆ ได้ตลอดทั้งปี

จะเห็นได้ว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ นักธุรกิจยุคใหม่ ต้องศึกษาการทำ SEO และ SEM ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้วางแผนธุรกิจอย่างมีทิศทาง

เทคนิคการเขียนบทความ SEO เพื่อดัน Content ให้เป็นอันดับ 1

ไม่ว่าใครที่กำลังสร้าง Content ดีๆ ก็ต้องอยากให้คนได้อ่านสิ่งเหล่านั้นให้มากที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าทุก Content จะมีคนอ่านเยอะเสมอไป หรือบาง Content อาจไม่มีคนอ่านเลยก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า มีคน Search เจอสิ่งที่ต้องการนำเสนอหรือไม่ ซึ่งการการทำ SEO ก็เพื่อนำพาคนที่สนใจในสิ่งนั้น Search เจอและได้อ่านบทความที่เราต้องการนำเสนอนั่นเอง

Concept ของ SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการสร้างบทความให้มี Keyword เพื่อการค้นหาได้ง่าย โดยจะเป็นการนำเอา Keyword ที่มีการจัดอันดับว่ามีการค้นหามากที่สุดจาก Search Engine ชื่อดังอย่าง GOOGLE และนำเอาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นมาลงในบทความที่ต้องการนำเสนอ ทำให้การ Search หาเจอทำได้โดยง่าย

เทคนิคการเขียน SEO ให้มีคนอ่านเจอมากที่สุด

กำหนด Keyword คือเราต้องทราบก่อนว่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับอะไร และ Keyword ที่มีการค้นหาเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ คืออะไร เราจึงค่อยนำ Keyword นั้นมาเป็นหลักในการเขียนบทความ

มีเนื้อหาที่น่าสนใจ เหมือนเราดูหนัง หากหนังเรื่องนั้นไม่สนุกก็ไม่อยากดู Content ก็เช่นกัน หากหัวข้อและเนื้อหาไม่เป็นที่น่าสนใจ ผู้อ่านก็จะหยุดเสียกลางคัน ทางที่ดีควรนำเสนอ Content แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร เนื้อหาจะต้องมองในมุมของผู้อ่านเป็นสำคัญ ว่าเขาจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่

ควรมี Keyword กระจายทั่วบทความ การกระจาย Keyword ให้ทั่วบทความถือว่าสำคัญมากในการทำ SEO โดยเฉพาะตรงส่วน Title และ Description เพราะจะทำให้การค้นหาง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติด้วย ไม่ควรใส่ Keyword เยอะจนเกินไป เพราะจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกติดขัดได้

จำนวนคำไม่ควรน้อยหรือมากไป ใน Content ที่ดีจะนำเสนอไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ควรมี 300 ถึง 1000 คำ ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการนำเสนอ เช่น บทความเกี่ยวกับเด็ก ก็ต้องสนุกสนานและไม่ยาวจนเกินไป แค่ 300 คำก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นบทความเกี่ยวกับวิชาการ เน้นความน่าเชื่อถือ ก็ควรมีประมาณ 1000 คำ เพื่อเนื้อหาที่ครอบคลุม สร้างความน่าเชื่อถือได้นั่นเอง

รูปและวีดีโอก็มีความสำคัญ บทความที่ไม่มีรูป ก็เหมือนกินก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่ผัก คือไม่มีสีสันเลย ทำให้ไม่ดึงดูดใจผู้อ่าน นอกจากนี้การใส่รูปและวิดีโอยังทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจในเนื้อหาที่เรานำเสนอมากขึ้นอีกด้วย

เทคนิคการเขียน SEO ให้มีคนอ่านเจอมากที่สุด

Black link ก็คือ link ของบทความเราที่ไปอยู่ในเว็บไซต์อื่น โดยผู้อ่านจากเว็บไซต์อื่นสามารถกดที่ link นี้และก็จะถูกพามาที่บทความของเรานั่นเอง ซึ่งมีความสำคัญต่อการจัดอันดับของ GOOGLE ด้วยเช่นกัน เพราะถือว่าเว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง

หากเราสามารถนำวิธีการดังกล่าวมาใช้ทำบทความ SEO อย่างถูกวิธีแล้ว เชื่อว่าบทความนั้นจะต้องเป็นบทความคุณภาพ และได้รับการพิจารณาจาก GOOGLE ให้ขึ้นมาอยู่ในหน้าแรกๆ อย่างแน่นอน ซึ่งการขึ้นมาอยู่ในหน้าแรกๆ นั้นมีประโยชน์มากมาย สามารถต่อยอดได้หลายอย่าง เช่น สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของเรา สร้างยอดขายสินค้าหรือบริการต่างๆได้มากขึ้น และยังเพิ่มยอดไลค์ ยอดแชร์ อันเป็นการขยายฐานลูกค้าได้ในอนาคตอีกด้วย

การจัดอันดับเว็บไซต์ SEO ใน Google Yahoo ดูจากอะไรบ้าง

ในปัจจุบันการทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์เป็นที่นิยมมาก Google และ Yahoo ซึ่งเป็น Search Engine อันดับต้น ๆ ของโลก จึงจะต้องมีหลักเกณฑ์ในการจัดอันดับของเว็บไซต์ SEO เว็บไซต์ใดที่ทำได้อย่างมีคุณภาพ ก็จะทำให้มีโอกาสในการแสดงตาม Keyword ที่กลุ่มเป้าหมายสืบค้นเป็นอันดับแรก ๆ ทำให้มียอดขายที่ดีขึ้นได้

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมสิ่งที่ Google และ Yahoo ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์มาฝากกัน ดังนี้

1.  การทำให้เว็บไซต์ใช้งานได้ดีบนมือถือ ถ้าเว็บไซต์ใช้งานได้เฉพาะคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเพียงอย่างเดียวจะเสียโอกาสในการขาย เพราะคนส่วนใหญ่ใช้มือถือในการหาข้อมูลมากขึ้น การทำให้เว็บไซต์ใช้งานได้ทั้งแบบคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและมือถือจึงทำให้ยอดขายและผลการจัดอันดับดีขึ้นด้วย

2. เรื่องของคุณภาพของบทความหรือ Content ในเว็บไซต์ที่จะต้องมีเนื้อหาสาระที่ให้ประโยชน์แก่ผู้อ่าน มีความทันสมัยและไม่มีการคัดลอกบทความมาจากที่อื่น ถ้ามีการใช้คำซ้ำหรือมีการใช้เนื้อหาคัดลอกมากเกินไป ระบบ AI ของ Search Engine จะตรวจจับและวิเคราะห์ว่าเป็นบทความคุณภาพต่ำ ทำให้อันดับของเว็บไซต์ตกลง

3. ระยะเวลาที่ลูกค้าอยู่ในหน้าจอของเว็บไซต์ เป็นสิ่งสำคัญที่บอกถึงความสามารถในการทำเนื้อหาบทความที่น่าสนใจ รวมถึงรูปภาพและคลิปต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับลูกค้าเป้าหมาย ถ้าทำให้ผู้อ่านอยู่ในหน้าเว็บไซต์ได้นานยิ่งขึ้น ก็จะทำให้ได้คะแนนการจัดอันดับที่ดีมากขึ้นตามมาคู่กับยอดขายสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นด้วย

4. จำนวนของผู้เข้ามาอ่านบทความในเว็บไซต์ ใน Search Engine จะมีระบบในการเก็บสถิติข้อมูลแบบละเอียด หากมีจำนวนคนเข้ามาอ่านบทความในเว็บไซต์มากขึ้นหรือเรียกว่ามี Traffic มาก ก็จะทำให้มีการจัดให้อยู่ในอันดับที่ดีกว่า ซึ่งการที่จะทำให้มีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์ได้มากขึ้น ต้องมาจากการทำเนื้อหาที่น่าสนใจด้วยการทำลิงก์เชื่อมโยงที่มีคุณภาพหรือ Back Link ไปยังเว็บไซต์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ได้ฐานลูกค้าที่จำนวนมากขึ้นและเพิ่มความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ ในปัจจุบันจำเป็นต้องศึกษาหลักเกณฑ์ที่ Google และ yahoo กำหนด เพื่อให้การทำ SEO ได้ผลที่ดี ทั้งในด้านการจัดอันดับในหน้าต่างการสืบค้น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์และยอดขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ

ซึ่งนักธุรกิจขายของออนไลน์สามารถศึกษาวิธีทำ SEO ได้ด้วยตัวเองและการจ้างบริษัทที่มีประสบการณ์ในการทำ เพื่อให้ได้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ในเวลารวดเร็วและเพิ่มจำนวนของลูกค้าและยอดขายได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

การจัดอันดับเว็บไซต์ SEO ใน GOOGLE YAHOO ดูจากอะไร

ชวนทำความรู้จักกับ SEO เพื่อการตลาดออนไลน์

SEO เป็นวิธีที่ทำให้เว็บไซต์ได้รับความนิยมจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เป็นการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ผ่านการทำบทความและสื่อประกอบที่มีคุณภาพ ทำให้เมื่อประมวลผลด้วยระบบ algorithm ของ search engine เช่น yahoo และ Google แล้ว จะมีอันดับในการสืบค้นที่สูงและทำให้มียอดขายสินค้าเพิ่มขึ้น

การทำ SEO ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ search engine อย่างการโฆษณาทั่วไป จึงเหมาะกับการทำเว็บไซต์ธุรกิจทุกประเภท โดยการทำ SEO หรือ search engine optimization นั้นประกอบไปด้วย 6 ปัจจัยที่ต้องพิจารณา คือ

1. คุณภาพของบทความ

บทความหรือ Content ที่มีคุณภาพต้องมีการใส่ keyword ที่เหมาะสม คือ ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าใช้สืบค้นหาสินค้าและบริการ ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือของ Google search ในการวิเคราะห์ keyword ได้

ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะนำ keyword ที่หามานี้ใช้ในการตั้งชื่อบทความ รูปภาพประกอบ ลิงค์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสืบค้นได้ดีขึ้น

2. สนใจ User signal

User signal เป็นผลจากการเข้าชมเว็บไซต์ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ทำเว็บไซต์ SEO สามารถศึกษาได้จาก google analytics คือ จะมีการเก็บข้อมูลโดย google จากผู้ใช้บริการเว็บไซต์ว่ามีอัตราการคลิกเท่าใด ระยะเวลาที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใช้อ่านบทความ หรือดูมัลติมีเดียบนหน้าเว็บไซต์นานเท่าใด ทำให้สามารถนำไปปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ได้ได้อย่างทันท่วงที

3. พัฒนาองค์ประกอบทางด้านของเทคนิค

เทคนิคไอที อย่างเช่น ภาษาในการเขียนเว็บไซต์ เช่น ภาษา html หากเจ้าของเว็บไซต์ไม่ชำนาญ ก็ควรจะจ้างผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถในการพัฒนาเว็บไซต์ รวมถึงการออกแบบส่วนประกอบต่าง ๆ ในเว็บไซต์ที่จะทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายและสวยงาม เพื่อทำให้ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น

4. User experience

ในเว็บไซต์ควรจะทำให้ลูกค้าใช้งานง่าย เช่น สามารถที่จะขยายภาพได้ ข้อความมีการวางให้อ่านง่าย มีช่องว่างเพื่อให้เนื้อหาไม่แน่นเกินไป มีการแบ่งหัวข้อต่าง ๆ ของสินค้าและบริการที่ชัดเจน การทำสิ่งเหล่านี้สำคัญเพราะจะทำให้ลูกค้าประทับใจและมีโอกาสกลับมาใช้งานได้ซ้ำอีก

5. สื่อโซเชียลมีเดีย

เว็บไซต์ที่ดึงดูดใจควรมีภาพเคลื่อนไหวประกอบหรือใช้ภาพในโทนสีที่สะดุดตา รวมถึงตัวอักษรที่อ่านง่าย เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาในเว็บไซต์และเป็นการเพิ่มเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายได้ดียิ่งขึ้น

6. การทำ Back Link

เป็นการเชื่อมโยงเว็บไซต์จากภายนอกเข้ามา เป็นสำคัญมากเพราะทำให้เพิ่มจำนวนลูกค้าจากการติดตามมาจากภายนอก อาจจะเกิดจากการตอบคำถามและแปะลิ้งค์เอาไว้ที่เว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีผู้สนใจแล้วทำให้มีผู้คลิกหาข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของคุณก็ได้

จะเห็นได้ว่าเทคนิคการทำ SEO สำคัญต่อเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ ช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเพิ่มยอดขายและจำนวนลูกค้าในการใช้บริการ

ชวนทำความรู้จักกับ SEO เพื่อการตลาดออนไลน์

สิ่งดีๆ ที่จะได้จากการทำเว็บไซต์ SEO

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์เป็นสิ่งที่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากทำให้สามารถเข้า ถึงกลุ่มลูกค้าได้เป็นจำนวนมากทั่วโลก จึงทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการขายสินค้าทั้งที่ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านให้วุ่นวายอย่างแต่ก่อน การทำเว็บไซต์ SEO จึงเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ เพราะมีข้อดีที่ชัดเจนดังต่อไปนี้

แสดงภาพลักษณ์ที่ทันสมัยของเว็บไซต์ SEO

การทำ SEO เป็นการปรับปรุงเว็บไซต์ทั้งในส่วนของโครงสร้างเว็บไซต์ การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมในการสร้างบทความ หรือ content การผลิตสื่อที่สนับสนุนการขาย รวมทั้งการเชื่อมโยงลิงค์ภายนอก หรือที่เรียกกันว่า backlink เป็นการดึงดูดลูกค้าจากการอ่านบทความที่ทีมงานไปโพสต์ไว้ในกระทู้ถามตอบต่าง ๆ หรือบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ ให้กลายมาเป็นลูกค้าประจำในเว็บไซต์ SEO

สิ่งดีๆ ที่จะได้จากการทำเว็บไซต์

ดังนั้นการทำ SEO จึงเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย และทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในสินค้าและบริการยิ่งขึ้น

เพิ่มโอกาสขายสินค้าในเว็บไซต์ SEO

การปรับปรุงเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอให้สอดคล้องกับระบบ SEO ที่ search engine มีการวิเคราะห์ด้วย algorithm ที่ออกแบบมาเฉพาะตัว จะทำให้มีโอกาสถูกนำเสนอเชื่อว่าเป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าต่างการสืบค้น มีความเป็นไปได้สูงที่จะมียอดผู้เข้าชมและเลือกซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ SEO มากกว่าเว็บไซต์แบบทั่วไป

ดังที่มีการศึกษาว่า หากเว็บไซต์แบรนด์ใดขึ้นสู่อันดับที่หนึ่งในผลการสืบค้น (เช่น นักท่องเที่ยวที่พิมพ์คีย์เวิร์ดหาโรงแรมที่พักในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ) หากขึ้นสถานที่ใดเป็นอันดับแรกจะมีโอกาสได้รับการจอง(ห้องพัก) มากกว่า สถานที่อันดับสองเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว

ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหาเว็บไซต์ SEO ที่ตรงใจง่ายขึ้น

การมีระบบ SEO จะเป็นการคัดกรองให้นำเสนอแต่ชื่อเว็บไซต์ที่มีการใช้คีย์เวิร์ดตรงตามลูกค้าเป้าหมาย เช่น ลูกค้าที่ต้องการซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์ หากร้านค้าใช้คีย์เวิร์ดว่า “ของขวัญ” “วาเลนไทน์”ในบทความ ภาพประกอบ และ URL address ก็จะมีโอกาสเจอกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายโดยง่าย ทำให้ไม่เสียเวลาการสืบค้นของผู้ใช้บริการ search engine นาน ได้สินค้าที่ถูกใจในเวลาอันรวดเร็ว จึงเป็นผลลัพธ์ที่ดีให้ประโยชน์แบบ win-win ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

เกิดการประชาสัมพันธ์แบรนด์เว็บไซต์ SEO ที่รวดเร็ว

การมีชื่อเว็บไซต์ SEO ปรากฏในลำดับต้น ๆ ของหน้าต่างการสืบค้นย่อมเป็นการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มการที่ลูกค้ามองเห็นชื่อแบรนด์ หรือผ่านตาบ่อย ๆ จะเกิดความจดจำได้ ทำให้มีโอกาสนำเสนอสินค้าและบริการในครั้งต่อ ๆ ไปที่กลุ่มเป้าหมายพิมพ์สืบค้นได้มากขึ้นด้วย

จะเห็นได้ว่าการพัฒนาเว็บไซต์ให้เข้าสู่ระบบ SEO ทำให้เจ้าของเว็บไซต์ได้รับประโยชน์ดี ๆ หลายด้านที่เรียกว่ามีความคุ้มค่าในการเปลี่ยนแปลง ทั้งยอดรายได้ จำนวนผู้ติดตามและการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์

โลกสวยหลีกไป Blog นี้สำหรับดราม่าเท่านั้น